เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะคะ ปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นรักขม ต้องเลิกรากัน แยกย้ายไปหาอะไรที่มันชุ่มฉ่ำหัวใจกว่าได้ ถ้ายังไม่แต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวกัน ก็ยังไม่ร้ายแรงนัก แต่ว่าถ้าคุณมีลูกด้วยกันแล้ว การเลิกราของพ่อแม่อาจเป็นปัญหาของลูกได้นะคะ ฉะนั้น เรามาดูกันดีกว่าว่า เราจะยืดระยะความหวานของสองเรา ให้นานเท่านานได้อย่างไร
1. วันวานยังหวานอยู่ (และก็ทำให้วันนี้หวานยิ่งขึ้นด้วย)
วิธีนี้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณลองย้อนกลับไปนึกถึงวันที่คุณรู้ตัวว่าคุณรักคนข้างกายคุณดูสิคะ ว่า ทำไมคุณถึงรักเขา และเขาคนนี้มีดีขนาดไหน และคุณโชคดีขนาดไหนที่มีเค้าอยู่ข้าง ๆ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ แต่จะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้มีกันและกันเยอะเลยค่ะ อย่างเวลาที่คุณโกรธคนรักมาก ๆ ลองใช้วิธีนึกถึงตอนที่จีบกันใหม่ก็ได้นะคะ เพราะมันจะมีความเปิ่นแฝงอยู่ในตอนนั้น จะทำให้คุณอมยิ้ม และเลิกโกรธอีกฝ่ายได้ค่ะ
2. สัมผัส ยารักษาหัวใจที่ดีที่สุดในโลก
อันนี้ก็ไม่ยากนะคะ แถมไม่ต้องซื้อต้องหาให้เสียเงินทอง ใช้อ้อมกอดอุ่นๆ และการสัมผัสกันนี้แหละ มันช่วยสร้างความรู้สึกหวานแหววได้ไม่น้อยเลยค่ะ ไม่เชื่อก็ลองกอดกันไปทะเลาะกันไปดูสิคะว่าคุณจะยังทะเลาะกันลงมั้ย และการกอดกันนี้ก็ไม่ต้องทำให้มันเป็นพิธีตรอง หรือจัดฉากให้มันมากมาย ง่าย ๆ แค่ตื่นเช้ามากอดกันสักหน่อย ก่อนแยกย้ายกันไปทำงานกันอีกซักนิด เวลากลับบ้านก็แถมให้สักหน่อย และก็ปิดท้ายอีกทีตอนก่อนนอน เท่านี้ก็เป็นการให้กำลังใจกันเป็นอย่างมากแล้ว โดยไม่ต้องพูดอะไรให้สวยหรูเลยด้วยซ้ำ
3. ง้อก็สำคัญนะ
เวลาทะเลาะกันหรือว่างอนกันเนี่ย ปัญหามันจะมาอยู่ตรงที่ เรามักคิดว่า คนที่เป็นฝ่ายง้อคือคนผิด และก็เป็นคนแพ้ใช่มั๊ยคะ แต่ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่เลยค่ะ ลองเปลี่ยนความคิดดูใหม่นะคะว่า จริง ๆ แล้ว คนที่ง้อคือคนที่ใส่ใจในความสัมพันธ์ อยากให้ยังรักกันดีตลอดไป ทิ้งทิฐิเรื่องที่ว่าง้อก่อนเป็นคนผิดและแพ้ไปเลยค่ะ
นอกจากนั้น คนที่ง้อก่อนก็ยังแสดงให้เห็นอีกว่า ใส่ใจในสุขภาพใจ และสุขภาพกายของอีกฝ่ายด้วยนะคะ เพราะว่าเวลาที่เราโกรธกันนั้นเราก็จะเครียด เวลาเครียด เราก็จะแก่ไวกว่าปกติ แถมระบบย่อยอาหารเราก็จะไม่ดี กินอะไรก็ไม่อร่อยอีกต่างหาก คนที่ง้อคือคนที่ใส่ใจคนรัก ไม่อยากให้อีกคนไม่สบาย แหม เป็นห่วงกันออกอย่างนี้ ไม่รักไม่ได้แล้ว
แต่สิ่งที่จะถนอมความรักของคุณให้หวาน และสดชื่นอยู่ได้นานเท่านาน ก็คือ การมีความเชื่อมั่นในกันและกัน นั่นแหละค่ะที่เป็นเคล็ด (ไม่) ลับที่ได้ผลดีที่สุด
No comments:
Post a Comment