Friday, April 11, 2014

7 ความต่างระหว่างรักในจอกับชีวิตจริง




         เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็นฉากหวานซึ้งที่อยู่ในหนังมาแล้วหลายเรื่อง ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะรู้เสียทีว่ารักในความจริงกับรักในหนังมันแตกต่างกัน ถึงแม้หนังเหล่านั้นจะสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความจริง แต่ทว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับคนดูเท่านั้นเอง ในขณะที่เรื่องจริงส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หนังว่าเอาไว้หรอก เพราะในชีวิตมีรายละเอียดเข้ามาประกอบอีกมากมาย ซึ่งในวันนี้เราจะทำให้ทุกคนมองเห็นภาพของความรักได้ชัดเจนขึ้นด้วย 7 ความต่างระหว่างรักในจอกับชีวิตจริงมาฝากกัน จะได้มองความรักตามความเป็นจริง และไม่หลงติดอยู่กับรักในจินตนาการมากจนเกินไป

  
1. เวลาในหนังเร็วกว่าความจริงเสมอ

          ความรักในหนังทั่วไปมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวเอกพูดคุยกันแค่หนึ่งครั้ง ซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะเชื่อเรื่องรักแรกพบก็เถอะ แต่การพูดคุยเพียงครั้งเดียวก็ออกจะเร็วไปหน่อย หากจะรักกันลึกซึ้งอย่างในตอนจบของเรื่อง เพราะอย่าลืมว่ากว่าคน 2 คน จะรักกันได้นั้นต้องคบหาเพื่อศึกษานิสัยและดูใจกันจนเกิดความใกล้ชิดก่อนจะพัฒนาไปเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคง ซึ่งบางคู่อาจใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี

  
2. ความรักมีมากกว่าเหตุการณ์สำคัญ

          ในหนังมักจะแสดงให้เห็นเฉพาะเหตุการณ์รักที่สำคัญ ๆ และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นฉากโรแมนติกที่เกิดจากพระเอก มันก็เลยทำให้สาว ๆ หลายคนคาดหวังว่าแฟนหนุ่มจะทำอย่างนั้นกับตัวเองบ้าง พอไม่ได้อย่างที่คิดก็พาลหงุดหงิด หาว่าพวกเขาไม่โรแมนติก เพราะคุณมัวแต่โฟกัสไปที่เรื่องใหญ่ ๆ แบบในหนัง ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาก็แสดงให้เห็นอยู่ตลอด แต่อาจจะเป็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น ช่วยถือของให้ ไปรับไปส่งที่บ้าน หรือพาคุณไปกินข้าวนอกบ้าน เป็นต้น

  
3. กิจกรรมธรรมดาก็สร้างความรักได้

          รักในชีวิตจริงคุณไม่จำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่มันพิเศษ เพื่อให้ความรักของคุณมันน่าตื่นเต้นตลอดเวลา แต่ควรปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างราบเรียบ เรียบง่ายบ้างก็ได้ แค่หากิจกรรมธรรมดา ๆ ให้พอมีช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว อย่างเช่น ชวนกันไปดูหนัง กินข้าว ฟังเพลง หรือเป็นกิจกรรมเดิม ๆ ที่พวกคุณชอบทำ เป็นต้น

  
4. ผู้ชายบางคนไม่โรแมนติกเหมือนในหนัง

          หากคุณโชคดีคุณก็จะได้พบกับคนที่มีความโรแมนติกในตัว ทำให้คุณเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา แต่น้อยมากที่จะเจอแบบนั้น อีกทั้งความรักของคนรุ่นใหม่ส่วนมากมักจะไม่ค่อยเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ อาจจะมีโรแมนติกบ้างแต่ก็คงไม่มากอย่างเช่นที่เห็นในหนังทั่วไป ฉะนั้น ไม่ควรตั้งความหวังให้มากเกินไป เพราะคุณนั่นแหละที่จะเสียความรู้สึกเอง

  
5. ไม่มีใครที่ดูเพอร์เฟคท์ตลอดเวลา

          ในหนังแม้ว่าตัวเอกจะพึ่งตื่นหรือทำอะไรก็ตามมักจะดูดีไปหมด ซึ่งในความเป็นจริงคงไม่มีใครที่เพอร์เฟคท์ไปเสียทุกอย่างอย่างในหนังหรอก ก็ต้องมีวันที่อารมณ์ไม่ดี หน้าตาบูดบึ้ง หรือโทรมลงไปเนื่องจากอาการป่วย ฉะนั้น จึงไม่ควรคาดหวังว่าคนที่เป็นคู่รักของคุณจะต้องดูดีตลอดเวลา หากรักกันจริงก็ควรจะสามารถยอมรับตัวตนด้านอื่น ๆ ของกันและกันได้ด้วย

  
6. เงินก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าความรัก

          หนังทั่วไปก็ต้องเลือกใช้สถานที่สวย ๆ กันอยู่แล้ว เพื่อทำให้หนังนั้นน่าสนใจ ดังนั้น ก็เลยเห็นตัวเอกพักอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์หรู กินข้าวในร้านอาหารบรรยากาศดี และเดินทางไปต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เนื่องจากมันมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้น หากมีความรักก็อย่าลืมคิดถึงเรื่องนี้ด้วย

  
7. ตอนจบความรักอาจไม่สวยงามอย่างที่คิด

          เวลาที่ตัวเอกในหนังมีปัญหาจะหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดีภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แถมทุกคู่ก็ยังได้ชีวิตร่วมกันอีกด้วย ซึ่งในชีวิตจริงบางปัญหาก็ไม่ได้จบอย่างง่ายขนาดนั้น ถึงแม้ว่าสำหรับคุณแล้วคนรักของคุณจะดูเพอร์เฟคท์ไปหมดทุกอย่าง ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ตามคุณควรจะอดทนและแก้ปัญหาอย่างใจเย็น หรือสุดท้ายแล้วหากไม่ได้ลงเอยด้วยกันก็ไม่ควรเก็บไปคิดมากจนต้องทำร้ายตัวเอง เพราะคุณจะต้องเจอคนที่ใช่สำหรับคุณในวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน

 
          แม้ว่าหนังจะสร้างจากความจริง แต่ก็อย่าลืมว่าฉากส่วนใหญ่ก็ทำมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับคนดู และแต่งขึ้นมาให้เป็นไปตามที่คนส่วนใหญ่ต้องการ ดังนั้น จึงไม่ควรยึดติดรูปแบบความรักในหนัง และตั้งความหวังในตัวคนรักมากเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้คนรักของคุณอึดอัดแล้ว คุณเองก็เป็นคนที่ไม่มีความสุขอีกด้วย คงจะดีกว่าหากรักโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จะได้มีความสุขด้วยกันทั้งคู่ 

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

No comments:

Post a Comment