กฎข้อที่
1 ความสัมพันธ์เกิดขึ้นเองไม่ได้
ความสัมพันธ์ที่ดี เกิดจากความพยายามและทุ่มเทอย่างมีสติ ความรักคือการเรียนรู้ว่าอะไรที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุข ความรักเรียกร้องให้เราซื่อสัตย์กับตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไร บางทีสิ่งสำคัญที่สุดคือความรักต้องการให้เราพร้อมที่จะแสดงออกและทัศนคติ รวมถึงความรู้สึกในแง่ร้ายและแง่ดี บทสรุปของความสัมพันธ์ไม่ได้ตัดสินจากโชคชะตา ซึ่งคู่รักต้องรับผิดชอบร่วมกัน ช่วงเริ่มแรกรู้จักกัน เราจะระวังเรื่องการวางตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ชักขี้เกียจและใส่ใจผลกระทบของเราน้อยลง แต่ความสัมพันธ์ไม่เคยหยุดนิ่งกับที่ มันอาจเติบโตหรือถดถอย คุณควรรู้ว่าความรักขึ้นกับตัวคุณเอง คุณจะมีความหวังและมองโลกในแง่ดี แทนที่จะเป็นแค่นักสังเกตการณ์อยู่เฉยๆ คุณจะได้มีส่วนร่วมทำให้ความสัมพันธ์นี้ยั่งยืน
ความสัมพันธ์ที่ดี เกิดจากความพยายามและทุ่มเทอย่างมีสติ ความรักคือการเรียนรู้ว่าอะไรที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุข ความรักเรียกร้องให้เราซื่อสัตย์กับตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไร บางทีสิ่งสำคัญที่สุดคือความรักต้องการให้เราพร้อมที่จะแสดงออกและทัศนคติ รวมถึงความรู้สึกในแง่ร้ายและแง่ดี บทสรุปของความสัมพันธ์ไม่ได้ตัดสินจากโชคชะตา ซึ่งคู่รักต้องรับผิดชอบร่วมกัน ช่วงเริ่มแรกรู้จักกัน เราจะระวังเรื่องการวางตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ชักขี้เกียจและใส่ใจผลกระทบของเราน้อยลง แต่ความสัมพันธ์ไม่เคยหยุดนิ่งกับที่ มันอาจเติบโตหรือถดถอย คุณควรรู้ว่าความรักขึ้นกับตัวคุณเอง คุณจะมีความหวังและมองโลกในแง่ดี แทนที่จะเป็นแค่นักสังเกตการณ์อยู่เฉยๆ คุณจะได้มีส่วนร่วมทำให้ความสัมพันธ์นี้ยั่งยืน
กฎข้อที่ 2 ความรักขาดสีสันได้ แต่ไม่มีวันตาย
เมื่อชีวิตคู่มีปัญหา เราจะอยากปกป้องตัวเอง เรากลัวความเจ็บปวด และการถูกทอดทิ้ง
เราเลยเชื่อว่าความรักตายไปแล้ว แต่ความรักอาจกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ถ้าเราเข้าใจว่าความรู้สึกลึกซึ้งแบบนั้นก็อาจหยุดนิ่งกับที่บ้าง
แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่ คุณอาจทำตามกฎข้อนี้ได้ด้วยการแบ่งแยกสิ่งที่คุณรู้สึกตอนนี้ออกจากสิ่งที่คุณรู้สึกเมื่อตอนเริ่มคบกัน จำไว้ว่าความรักที่คุณรู้สึกได้ในอดีตเป็นของจริง สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อฟื้นฟูความรักคือ
ค้นหาว่าความโกรธและความเศร้านั้นเกิดจากอะไร พอรู้แล้วก็แสดงความรู้สึกออกมาเต็มที่
แล้วตามด้วยการให้อภัยและยอมรับ ความรู้สึกดีๆก็จะกลับมาแทนที่อีกครั้ง
กฎข้อที่3 ชีวิตคู่ไม่ใช่การแก้ปัญหา
เมื่อเราผลักภาระให้คนรักมากเกินไป เราจะหลบหนีความผิดหวังไม่พ้นและทำให้เขารู้สึกคับแค้นใจเปล่าๆ ที่สำคัญกว่า นั้นคือ แม้ว่าการอยู่เคียงข้างเขาดูจะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่ความรู้สึกนั้นจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นจากตัวเราเอง ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเองก่อน ไม่งั้นเราก็จะไม่มีวันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า หรือจะไม่สามารถรักใครได้จริง
เมื่อเราผลักภาระให้คนรักมากเกินไป เราจะหลบหนีความผิดหวังไม่พ้นและทำให้เขารู้สึกคับแค้นใจเปล่าๆ ที่สำคัญกว่า นั้นคือ แม้ว่าการอยู่เคียงข้างเขาดูจะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่ความรู้สึกนั้นจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นจากตัวเราเอง ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเองก่อน ไม่งั้นเราก็จะไม่มีวันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า หรือจะไม่สามารถรักใครได้จริง
กฎข้อที่ 4 ความรักคือการยอมรับไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
น่าแปลกที่เริ่มแรกเราจะหลงใหลความแตกต่างของอีกฝ่าย แต่พอคบกันจริงๆ เรากลับพยายามลบล้างเอกลักษณ์ของเขาที่ดึงดูดใจเรา นั่นก็เพราะว่าความแตกต่างทำให้เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ไม่มั่นคง เพราะเหมือนกับว่าเขาปฎิเสธหรืออยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เราให้คุณค่านั่นเอง ความจริงแล้วความรักคือการยอมรับข้อเสียของใครสักคนและเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเป็นคนพิเศษกว่าใครๆ เขาเองอาจไม่ได้มองว่าความหวังดี เขากลับมองว่าคุณกำลังลดทอนคุณค่าในตัวเขา การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเจ้าตัวอยากทำเอง ซึ่งความอยากนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ยอมรับและมีคนรักเท่านั้น
น่าแปลกที่เริ่มแรกเราจะหลงใหลความแตกต่างของอีกฝ่าย แต่พอคบกันจริงๆ เรากลับพยายามลบล้างเอกลักษณ์ของเขาที่ดึงดูดใจเรา นั่นก็เพราะว่าความแตกต่างทำให้เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ไม่มั่นคง เพราะเหมือนกับว่าเขาปฎิเสธหรืออยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เราให้คุณค่านั่นเอง ความจริงแล้วความรักคือการยอมรับข้อเสียของใครสักคนและเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเป็นคนพิเศษกว่าใครๆ เขาเองอาจไม่ได้มองว่าความหวังดี เขากลับมองว่าคุณกำลังลดทอนคุณค่าในตัวเขา การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเจ้าตัวอยากทำเอง ซึ่งความอยากนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ยอมรับและมีคนรักเท่านั้น
กฎข้อที่ 5 คู่รักไม่ใช่นักอ่านใจ
เรื่องเพ้อฝันอย่างหนึ่งของความรักก็ คือ ฝันว่าคนรักจะรู้จักตัวตนของเราในแบบที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน เราอยากให้เขารู้จิตใจเราก็เพราะเราไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยว เราอยากถูกยอมรับ เราอยากมีตัวตน พอเขาไม่รู้ใจเรา เราก็เลยเศร้า ผิดหวัง หรือแม้แต่รู้สึกถูกทรยศ แต่ถึงเราจะอยากให้เขาเป็นแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่นักอ่านใจ เราจะคิดเอาเองไม่ได้ว่าเขาจะรู้ทุกความรู้สึกของเรา เราต่างหากที่มีหน้าที่ทำให้เขารู้จักตัวเรา บางคนคิดว่าการที่เขารู้ใจคุณแสดงให้เห็นว่าเขารักคุณ จริงๆแล้วเขาทำตามที่คุณเรียกร้องต่างหากแสดงว่าเขารักคุณจริงๆ ดังนั้นอย่ารอให้เขาเดาใจคุณ เพราะมันจะเกิดแต่การเข้าใจผิด และความเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย
เรื่องเพ้อฝันอย่างหนึ่งของความรักก็ คือ ฝันว่าคนรักจะรู้จักตัวตนของเราในแบบที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน เราอยากให้เขารู้จิตใจเราก็เพราะเราไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยว เราอยากถูกยอมรับ เราอยากมีตัวตน พอเขาไม่รู้ใจเรา เราก็เลยเศร้า ผิดหวัง หรือแม้แต่รู้สึกถูกทรยศ แต่ถึงเราจะอยากให้เขาเป็นแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่นักอ่านใจ เราจะคิดเอาเองไม่ได้ว่าเขาจะรู้ทุกความรู้สึกของเรา เราต่างหากที่มีหน้าที่ทำให้เขารู้จักตัวเรา บางคนคิดว่าการที่เขารู้ใจคุณแสดงให้เห็นว่าเขารักคุณ จริงๆแล้วเขาทำตามที่คุณเรียกร้องต่างหากแสดงว่าเขารักคุณจริงๆ ดังนั้นอย่ารอให้เขาเดาใจคุณ เพราะมันจะเกิดแต่การเข้าใจผิด และความเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย
กฎข้อที่ 6 คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำ
เราประเมินความสัมพันธ์ได้จากการกระทำของคู่รัก ไม่ใช่จากคำพูดของพวกเขา คำพูดอาจแสดงให้เห็นความตั้งใจดี แต่วิธีที่เราสนับสนุนคำพูดนั้นต่างหากที่ส่งผลกระทบจริงๆ ถ้าคุณอยากให้ความรักเข้มแข็ง วิธีสื่อสารที่ดีที่สุดคือแสดงความรัก เอาใจใส่ และละเอียดอ่อน ให้คุณถามตัวเองว่าคุณได้ทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักจะดีกว่าการบอกเขาว่าคุณอยากทำอะไรให้เขา
เราประเมินความสัมพันธ์ได้จากการกระทำของคู่รัก ไม่ใช่จากคำพูดของพวกเขา คำพูดอาจแสดงให้เห็นความตั้งใจดี แต่วิธีที่เราสนับสนุนคำพูดนั้นต่างหากที่ส่งผลกระทบจริงๆ ถ้าคุณอยากให้ความรักเข้มแข็ง วิธีสื่อสารที่ดีที่สุดคือแสดงความรัก เอาใจใส่ และละเอียดอ่อน ให้คุณถามตัวเองว่าคุณได้ทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักจะดีกว่าการบอกเขาว่าคุณอยากทำอะไรให้เขา
กฎข้อที่ 7 ความสัมพันธ์ที่ดีจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงที่เราต้องเจอคือการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเองและการเปลี่ยนแปลงของเขา อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงนี้ ให้คิดว่าเขาจะไว้ใจและรักคุณมากพอที่จะเข้าใจการเติบโตของคุณ ส่วนคุณเองก็ควรให้เกียรติเขาในแบบเดียวกัน แม้ว่าความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นคู่กับการเปลี่ยนแปลงของเราจะทำให้เราอึดอัดใจ แต่นั่นก็เท่ากับทำให้ความสัมพันธ์ที่เริ่มหยุดนิ่งกลับมามีสีสันขึ้นมาไม่ใช่หรือ การที่มี "ช่วงเวลาแย่ๆ" ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์นั้นมีปัญหาใหญ่โต แต่มันแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่คู่รักจะต้องยอมรับอย่างเข้าใจ
การเปลี่ยนแปลงที่เราต้องเจอคือการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเองและการเปลี่ยนแปลงของเขา อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงนี้ ให้คิดว่าเขาจะไว้ใจและรักคุณมากพอที่จะเข้าใจการเติบโตของคุณ ส่วนคุณเองก็ควรให้เกียรติเขาในแบบเดียวกัน แม้ว่าความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นคู่กับการเปลี่ยนแปลงของเราจะทำให้เราอึดอัดใจ แต่นั่นก็เท่ากับทำให้ความสัมพันธ์ที่เริ่มหยุดนิ่งกลับมามีสีสันขึ้นมาไม่ใช่หรือ การที่มี "ช่วงเวลาแย่ๆ" ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์นั้นมีปัญหาใหญ่โต แต่มันแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่คู่รักจะต้องยอมรับอย่างเข้าใจ
กฎข้อที่ 8 การนอกใจคือยาพิษฆ่าความรัก
การนอกใจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา คนที่นอกใจนั้นกำลังพยายามหาแหล่งหลบภัยที่อื่นมากกว่าและถึงอีกฝ่ายจะไม่รู้ แต่มีบางอย่างถูกทำลายแบบไม่สามารถแก้ไขได้ไปแล้ว ความสัมพันธ์ที่ดีจะต้องมีความซื่อสัตย์และการให้เกียรติเป็นแกนกลาง การให้เกียรตินั้นไม่ใช่นามธรรม เป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นความรักจะอ่อนแอและความไว้ใจจะถูกทำลาย ค่านิยมประเพณีได้ได้เกิดขึ้นแบบไร้เหตุผล ไม่ใช่เป็นวิธีจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคล แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่ทำให้ความรักของมนุษย์คงอยู่ ได้
การนอกใจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา คนที่นอกใจนั้นกำลังพยายามหาแหล่งหลบภัยที่อื่นมากกว่าและถึงอีกฝ่ายจะไม่รู้ แต่มีบางอย่างถูกทำลายแบบไม่สามารถแก้ไขได้ไปแล้ว ความสัมพันธ์ที่ดีจะต้องมีความซื่อสัตย์และการให้เกียรติเป็นแกนกลาง การให้เกียรตินั้นไม่ใช่นามธรรม เป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นความรักจะอ่อนแอและความไว้ใจจะถูกทำลาย ค่านิยมประเพณีได้ได้เกิดขึ้นแบบไร้เหตุผล ไม่ใช่เป็นวิธีจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคล แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่ทำให้ความรักของมนุษย์คงอยู่ ได้
กฎข้อที่ 9 โทษคนอื่นคือการผลักภาระ
การโทษคนอื่นเป็นการย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง มันทำให้เรามองตัวเองเป็นเหยื่อ เราโทษคนอื่นก็เพื่อให้เขารู้สึกผิด แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดตามมาไม่ใช่ด้านดี เป็นการทำให้เขาสะสมความคับแค้นใจและหมดรักเราไปทีละน้อยโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
การโทษคนอื่นเป็นการย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง มันทำให้เรามองตัวเองเป็นเหยื่อ เราโทษคนอื่นก็เพื่อให้เขารู้สึกผิด แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดตามมาไม่ใช่ด้านดี เป็นการทำให้เขาสะสมความคับแค้นใจและหมดรักเราไปทีละน้อยโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
กฎข้อที่ 10 ความรักไม่ใช่การลงโทษแต่คือการให้อภัย
การให้อภัยมีสองแบบ แบบแรกคือให้อภัยตัวเองและคิดว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แบบที่สองคือให้อภัยคนรักอย่างจริงใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราอยากจะทำให้เขาเจ็บปวด อยากจะพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาผิดในเวลาที่เราโกรธ แต่เมื่ออารมณ์เย็นลง ขั้นสุดท้ายของการรื้อฟื้นความรักก็คือการให้อภัย ถึงคุณจะโกรธแค่ไหน ถึงคุณคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเพียงใด คุณจะรักเขาอีกไม่ได้เลยถ้าคุณไม่ให้อภัย การให้อภัยไม่ใช่การหาเหตุผลมาลบความเจ็บปวด แต่เป็นความเต็มใจที่จะกำจัดความรู้สึกแง่ลบนั้นทิ้งเพื่อให้ความสัมพันธ์นั้นก้าวต่อไปได้
การให้อภัยมีสองแบบ แบบแรกคือให้อภัยตัวเองและคิดว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แบบที่สองคือให้อภัยคนรักอย่างจริงใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราอยากจะทำให้เขาเจ็บปวด อยากจะพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาผิดในเวลาที่เราโกรธ แต่เมื่ออารมณ์เย็นลง ขั้นสุดท้ายของการรื้อฟื้นความรักก็คือการให้อภัย ถึงคุณจะโกรธแค่ไหน ถึงคุณคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเพียงใด คุณจะรักเขาอีกไม่ได้เลยถ้าคุณไม่ให้อภัย การให้อภัยไม่ใช่การหาเหตุผลมาลบความเจ็บปวด แต่เป็นความเต็มใจที่จะกำจัดความรู้สึกแง่ลบนั้นทิ้งเพื่อให้ความสัมพันธ์นั้นก้าวต่อไปได้
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
No comments:
Post a Comment