แม้จะทำให้ชีวิตของคนเราสุขสบายขึ้น แต่ถ้าหากใช้เวลากับมันมากเกินไปก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ความรักพังได้เหมือนกัน และแม้หลายคนจะรู้ถึงผลเสียของมันแล้ว แต่ก็ยังชะล่าใจอยู่เพราะคิดว่าคงไม่เกิดกับตัวเอง
ในวันนี้เว็บไซต์ womenshealthmag.com ก็เลยนำ 9 สัญญาณ ที่จะเตือนให้รู้ตัวว่าเทคโนโลยีกำลังทำร้ายชีวิตรักของคุณ
และถึงเวลาที่ต้องใส่ใจคนรักให้มากขึ้นแล้ว
1. เสียเวลาไปกับการเช็คข่าวคราวของแฟนเก่า
ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิดหากตอนนี้ยังเช็คข่าวคราวของแฟนเก่าผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะการสืบเสาะหาข้อมูลว่า ผู้หญิงที่เขาแท็กชื่อไปหาเป็นใครกันแน่ หรือยังตามไปกดไลค์สเตตัสของเขาตลอด ทั้ง ๆ ที่ความรักของพวกคุณก็จบไปนานแล้ว เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขายังมีความสำคัญกับคุณอยู่ อีกทั้งเป็นกิจกรรมที่ไม่จำเป็นกับชีวิต แถมยังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ด้วย
2. ใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือมากกว่าแฟน
หากคุณใช้เวลากดรีเฟรชเพจทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรมของตัวเองมากกว่าหันหน้าไปพูดคุยกับแฟน ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก เพราะการวิจัยครั้งล่าสุดเผยให้เห็นว่าทวิตเตอร์มีส่วนทำให้ผู้ใช้และแฟนของพวกเขาเกิดความขัดแย้งกัน เช่น ยุ่งกับการทวีตข้อความมากกว่าสนุกกับการรับประทานอาหารค่ำพร้อมกับแฟน เป็นต้น ในขณะที่มีคนจำนวน 1 ใน 5 เช็คข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือขณะกำลังมีเซ็กซ์ ซึ่งความรักคงจะดีกว่าหากมีเวลาให้กับแฟนอย่างเต็มที่ในระหว่างที่อยู่กับพวกเขาแทนที่จะเป็นโทรศัพท์
3. กังวลว่ารูปส่วนตัวของตัวเองจะถูกนำไปแชร์ในโลกโซเชียล
หากคุณส่งรูปมุมเซ็กซี่ของตัวเองให้แฟน หลังจากนั้นก็กังวลมากจนทำให้นอนไม่หลับ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด เพราะกลัวว่ารูปพวกนั้นจะถูกนำไปแชร์ต่อในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะหยุดทำเช่นนั้น พร้อมทั้งเพิ่มการป้องกันข้อมูลในโทรศัพท์ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น หรือลบรูปทิ้งไปเลยก็ได้
4. เริ่มคิดมากเมื่ออีกฝ่ายไม่มีการตอบรับใด ๆ กลับมา
เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกกังวล คิดมาก และเครียด หลังจากที่เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความของคุณเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีกำลังจะทำให้ความรักของคุณพัง ขณะเดียวกันอีกฝ่ายอาจจะมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถตอบกลับหลังจากที่อ่านข้อ ความได้ในทันที แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจคุณแล้วเสียหน่อย หากสงสัยก็ถามเขาไปเลยตรง ๆ
5. เริ่มเชื่อว่าสิ่งที่ถูกส่งมาจากโลกออนไลน์เป็นเรื่องจริง
ทั้ง ๆ ที่การโกหกสามารถทำได้ง่ายมากในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ หรือหน้าตาของคนเรา เพราะในตอนนี้มีแอพพลิเคชั่นที่ช่วยเสริมหล่อต่อเติมความสวยมากมาย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญหรือนำแฟนของตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนในโลกออนไลน์เลยสักนิด และจะส่งผลดีกับความรักมากกว่าหากพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้ครอบครอง
6. วางแผนออกเดทตามคำเชิญชวน
คงไม่ดีแน่ ๆ หากคุณใช้เวลาเป็นวันเพื่อค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดจากโลกออนไลน์ โดยตัดสินจากจำนวนคะแนนที่ทางเว็บไซต์ทำสรุปไว้ให้ จนลืมไปว่าควรจะสืบค้นข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ด้วย เช่น คนในครอบครัว หรือเพื่อนที่เคยไปเที่ยวในสถานที่แห่งนั้น เพราะบางครั้งข้อสรุปที่ได้มาอาจเป็นเพียงคำโฆษณาที่เชิญชวนให้คนไปเที่ยวก็ได้
7. ให้ความสำคัญกับสถานะความรักในเฟซบุ๊กมาก
ตอนนี้การขึ้นสถานะมีแฟน มีคู่หมั้น หรือแต่งงานกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งคงไม่มีปัญหาอะไรหากไม่ได้สนใจจุดนี้มาก แต่มันจะสร้างปัญหาให้กับความรักของคุณแน่นอน ถ้าหากเก็บเรื่องนี้มาคิดและอยากจะเปลี่ยนสถานะจากโสดเป็นมีแฟน หรือจากคู่หมั้นเป็นแต่งงานเพราะไม่อยากน้อยหน้าคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่มีส่วนสำคัญกับชีวิตเลยสักนิด
8. ใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการอ่านใจจากข้อความ
เนื่องจากข้อความเป็นเพียงแค่การส่งคำพูดเท่านั้น แต่ไม่สามารถจะสื่อความรู้สึกจริง ๆ ออกไปได้ ดังนั้นหลายคนจึงกังวลและพยายามหาทางอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายจากข้อความที่ส่งมา ถึงแม้จะเป็นคำทักทายสั้น ๆ ก็ตาม ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีจุดประสงค์อะไรแฝงอยู่เลย แค่ต้องการทักทายเท่านั้นเอง ซึ่งมันคงจะดีกว่าหากลบความกังวลในเรื่องนี้ออกไป
9. ต้องการให้แฟนทำเหมือนกับตัวเอง
หลังจากที่รับเขาเข้ามาเป็นเพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเพจอื่น ๆ คงจะไม่ดีนักหากต้องการให้แฟนทำแบบเดียวกันกับสิ่งที่คุณทำ เช่น ส่งข้อความกลับมาหาทันทีหลังจากที่คุณส่งไป เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นรูปคู่ หรืออยากให้เขาลงรูปคู่บ่อย ๆ ในเพจของตัวเอง เพราะมันทำให้ความรักพังในไม่ช้าแน่นอน
หลังจากที่เช็คแล้วพบว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้ประมาณ 2-3 ข้อ ควรจะลดเวลาในการเล่นโทรศัพท์มือถือสักพัก แล้วหันหน้าไปพูดคุยกับแฟนและคนรอบข้างให้มากขึ้น ความสัมพันธ์จะได้มั่นคงแข็งแรงอย่างที่คาดเอาไว้ ก่อนที่ความรักจะพังเพราะคุณติดโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีมากเกินไปอย่างที่กล่าวมา
1. เสียเวลาไปกับการเช็คข่าวคราวของแฟนเก่า
ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิดหากตอนนี้ยังเช็คข่าวคราวของแฟนเก่าผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะการสืบเสาะหาข้อมูลว่า ผู้หญิงที่เขาแท็กชื่อไปหาเป็นใครกันแน่ หรือยังตามไปกดไลค์สเตตัสของเขาตลอด ทั้ง ๆ ที่ความรักของพวกคุณก็จบไปนานแล้ว เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขายังมีความสำคัญกับคุณอยู่ อีกทั้งเป็นกิจกรรมที่ไม่จำเป็นกับชีวิต แถมยังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ด้วย
2. ใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือมากกว่าแฟน
หากคุณใช้เวลากดรีเฟรชเพจทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรมของตัวเองมากกว่าหันหน้าไปพูดคุยกับแฟน ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก เพราะการวิจัยครั้งล่าสุดเผยให้เห็นว่าทวิตเตอร์มีส่วนทำให้ผู้ใช้และแฟนของพวกเขาเกิดความขัดแย้งกัน เช่น ยุ่งกับการทวีตข้อความมากกว่าสนุกกับการรับประทานอาหารค่ำพร้อมกับแฟน เป็นต้น ในขณะที่มีคนจำนวน 1 ใน 5 เช็คข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือขณะกำลังมีเซ็กซ์ ซึ่งความรักคงจะดีกว่าหากมีเวลาให้กับแฟนอย่างเต็มที่ในระหว่างที่อยู่กับพวกเขาแทนที่จะเป็นโทรศัพท์
3. กังวลว่ารูปส่วนตัวของตัวเองจะถูกนำไปแชร์ในโลกโซเชียล
หากคุณส่งรูปมุมเซ็กซี่ของตัวเองให้แฟน หลังจากนั้นก็กังวลมากจนทำให้นอนไม่หลับ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด เพราะกลัวว่ารูปพวกนั้นจะถูกนำไปแชร์ต่อในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะหยุดทำเช่นนั้น พร้อมทั้งเพิ่มการป้องกันข้อมูลในโทรศัพท์ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น หรือลบรูปทิ้งไปเลยก็ได้
4. เริ่มคิดมากเมื่ออีกฝ่ายไม่มีการตอบรับใด ๆ กลับมา
เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกกังวล คิดมาก และเครียด หลังจากที่เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความของคุณเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีกำลังจะทำให้ความรักของคุณพัง ขณะเดียวกันอีกฝ่ายอาจจะมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถตอบกลับหลังจากที่อ่านข้อ ความได้ในทันที แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจคุณแล้วเสียหน่อย หากสงสัยก็ถามเขาไปเลยตรง ๆ
5. เริ่มเชื่อว่าสิ่งที่ถูกส่งมาจากโลกออนไลน์เป็นเรื่องจริง
ทั้ง ๆ ที่การโกหกสามารถทำได้ง่ายมากในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ หรือหน้าตาของคนเรา เพราะในตอนนี้มีแอพพลิเคชั่นที่ช่วยเสริมหล่อต่อเติมความสวยมากมาย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญหรือนำแฟนของตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนในโลกออนไลน์เลยสักนิด และจะส่งผลดีกับความรักมากกว่าหากพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้ครอบครอง
6. วางแผนออกเดทตามคำเชิญชวน
คงไม่ดีแน่ ๆ หากคุณใช้เวลาเป็นวันเพื่อค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดจากโลกออนไลน์ โดยตัดสินจากจำนวนคะแนนที่ทางเว็บไซต์ทำสรุปไว้ให้ จนลืมไปว่าควรจะสืบค้นข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ด้วย เช่น คนในครอบครัว หรือเพื่อนที่เคยไปเที่ยวในสถานที่แห่งนั้น เพราะบางครั้งข้อสรุปที่ได้มาอาจเป็นเพียงคำโฆษณาที่เชิญชวนให้คนไปเที่ยวก็ได้
7. ให้ความสำคัญกับสถานะความรักในเฟซบุ๊กมาก
ตอนนี้การขึ้นสถานะมีแฟน มีคู่หมั้น หรือแต่งงานกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งคงไม่มีปัญหาอะไรหากไม่ได้สนใจจุดนี้มาก แต่มันจะสร้างปัญหาให้กับความรักของคุณแน่นอน ถ้าหากเก็บเรื่องนี้มาคิดและอยากจะเปลี่ยนสถานะจากโสดเป็นมีแฟน หรือจากคู่หมั้นเป็นแต่งงานเพราะไม่อยากน้อยหน้าคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่มีส่วนสำคัญกับชีวิตเลยสักนิด
8. ใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการอ่านใจจากข้อความ
เนื่องจากข้อความเป็นเพียงแค่การส่งคำพูดเท่านั้น แต่ไม่สามารถจะสื่อความรู้สึกจริง ๆ ออกไปได้ ดังนั้นหลายคนจึงกังวลและพยายามหาทางอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายจากข้อความที่ส่งมา ถึงแม้จะเป็นคำทักทายสั้น ๆ ก็ตาม ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีจุดประสงค์อะไรแฝงอยู่เลย แค่ต้องการทักทายเท่านั้นเอง ซึ่งมันคงจะดีกว่าหากลบความกังวลในเรื่องนี้ออกไป
9. ต้องการให้แฟนทำเหมือนกับตัวเอง
หลังจากที่รับเขาเข้ามาเป็นเพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเพจอื่น ๆ คงจะไม่ดีนักหากต้องการให้แฟนทำแบบเดียวกันกับสิ่งที่คุณทำ เช่น ส่งข้อความกลับมาหาทันทีหลังจากที่คุณส่งไป เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นรูปคู่ หรืออยากให้เขาลงรูปคู่บ่อย ๆ ในเพจของตัวเอง เพราะมันทำให้ความรักพังในไม่ช้าแน่นอน
หลังจากที่เช็คแล้วพบว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้ประมาณ 2-3 ข้อ ควรจะลดเวลาในการเล่นโทรศัพท์มือถือสักพัก แล้วหันหน้าไปพูดคุยกับแฟนและคนรอบข้างให้มากขึ้น ความสัมพันธ์จะได้มั่นคงแข็งแรงอย่างที่คาดเอาไว้ ก่อนที่ความรักจะพังเพราะคุณติดโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีมากเกินไปอย่างที่กล่าวมา
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
No comments:
Post a Comment