Saturday, August 31, 2013

10 กิจกรรม ทำให้หายเศร้า เมื่อรักร้าว




 นี่คือตัวอย่างกิจกรรมที่เราคิดว่าน่าจะช่วยคุณได้ ไม่เฉพาะแต่ในยามรักร้าวเท่านั้น แม้แต่ในยามที่จิตใจหดหู่ กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็อาจจะมีส่วนช่วยให้คุณก้าวพ้นจากช่วงเวลายากลำบากได้
 
1. ร้องคาราโอเกะ 

          ไม่มีอะไรจะปลดปล่อยความรู้สึกล้นทะลักในใจคุณได้เท่ากับการได้แหกปากตะโกนดังๆ ยิ่งร็อคเท่าไหร่ยิ่งดี แต่อย่าร้องว่าจะรัก รักเธอตลอดไป เพราะอาจจะไปกันใหญ่ แต่ถ้าคุณเป็นบุคคลประเภทหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ก็ร้องมันไปเลย เพลงที่คุณชอบฟังด้วยกัน สมัยยังรักกันหวานซึ้ง ให้บ่อน้ำตามันทะลักออกมา จนคุณเลิกร้องไปเอง

2. แดนซ์กระจาย 

          ในภาวะขั้นต้นที่ยังช็อกอยู่ เราขอแนะนำว่า ให้ไปผับและแดนซ์กระจายเท่านั้น ถอดภาพคุณหนูขี้อายที่ได้แต่นั่งเคาะนิ้วเวลาเพื่อนในกลุ่มเต้นกัน แล้วออกไปกลางฟลอร์ เต้นท่าบ้าบอแค่ไหนก็เต้นไปเถอะ ใครจะไปรู้ คุณอาจจะได้พบกับพรสวรรค์เท้าไฟที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณมานานแสนนานก็ได้

3. ว่ายน้ำ 

          ถ้าตอนนี้คุณเริ่มรู้สึกนิ่งขึ้น อยากลองตรึกตรองกับเรื่องราวที่ผ่านมา การว่ายน้ำท่าสบายๆ อย่างท่ากบ ท่ากรรเชียง พร้อมกับปล่อยใจล่องลอยไปกับสายน้ำที่มากระทบกายเบาๆ อาจจะช่วยให้คุณคิดอะไรขึ้นมาได้ หรือถ้าหากยังอยู่ในขั้นโคม่า การว่ายน้ำก็ยังช่วยได้ เพราะคุณจะต้องเพ่งสมาธิไปที่การว่ายน้ำแทนที่จะจมดิ่งไปกับความทุกข์ ท่าที่ขอแนะนำในระยะนี้น่าจะเป็นท่าที่ใช้พลังมากขึ้นอย่าง ท่าฟรีสไตล์ ท่าผีเสื้อ ว่ายเสร็จแล้วกลับบ้านนอนสลบ ไม่ทันได้ร้องไห้ก่อนนอนเหมือนทุกคืน

4. ซาวน่าและนอนแช่อ่างจากุชชี่ 

          การซาวน่าและนอนแช่อ่างจากุชชี่เป็นกิจกรรมที่มาคู่กันอยู่แล้ว ไอร้อนจากซาวน่า นอกจากจะทำให้เหงื่อหยดติ๋งๆ อุณหภูมิอันคุกรุ่นภายในตู้เล็กๆ ยังทำให้คุณร้อนจนลืมอกหักไปเลย หรือถ้าอยากจะร้องไห้ในห้องซาวน่าก็ไม่มีใครว่า ร้องจนสะใจ แล้วขอเชิญออกมานอนแช่ในอ่างจากุชชี่สบายๆ คุณจะรู้สึกสะใจเล็กๆ กับความร้อนจัด แล้วเปลี่ยนมาเย็นจัด ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และดีท็อกซ์จิตใจตัวเองได้โดยไม่รู้ตัว

5. ทำอาหาร 

          กิจกรรม นี้ถ้าไม่เคยทำ ต้องลองให้ได้ เพราะสนุกตั้งแต่เริ่มคิดเมนู เลือกของในซูเปอร์มาร์เก็ต กลับมาบ้านหั่นผัก หั่นเนื้อ ทำเองทุกอย่าง จนกระทั่งเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็ไปเรียกขาประจำในครอบครัว พ่อแม่พี่น้องมานั่งชิม แบ่งให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงชิมให้หมด แต่สิ่งที่ควรระวังอย่างยิ่งของข้อนี้คือ ห้ามทำอาหารเด็ดขาด หากว่าคุณอยู่คนเดียว เพราะทำไปก็เท่านั้น เผลอๆ จะยิ่งจ๋อยเข้าไปใหญ่ เมื่อเห็นผลงานที่คุณประดิดประดอยทำอยู่ 5 ชั่วโมง แต่มีคุณนั่งดินเนอร์หงอยๆ อยู่คนเดียว 

6. งานฝีมือ 

          อย่าเพิ่งดูถูกกันสำหรับข้อนี้ และอย่าเพิ่งคิดว่าเป็นงานอดิเรกสำหรับแม่บ้านวัยกลางคน เดี๋ยวนี้มีสาวๆ รุ่นใหม่ หันมาให้ความสนใจกับการประดิษฐ์งานฝีมือง่ายๆ แบบที่เรียกว่า Do it Yourself กันเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นถักนิตติ้ง ทำตุ๊กตา ถักโครเชต์ หรือทำกระเป๋าใบเล็กๆ ใช้เอง ล้วน แต่เป็นกิจกรรมที่ช่วยฝึกสมาธิและทำให้คุณจดจ่ออยู่กับงานสร้างสรรค์ ซึ่งช่วยให้คุณภูมิใจ เมื่อทำสำเร็จจนกระทั่งลืมไปเลยว่าอกหักอยู่ 

7. ทำงานศิลปะ 

          หลาย คนคงเคยมีความฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากวาดรูปเป็น หรือมีผลงานถ้วยกาแฟน่ารักๆ เป็นของตัวเองบ้าง เวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่เลวนักสำหรับการเริ่มต้นทำในสิ่งที่คุณเคยฝัน เอาไว้ และการที่ต้องตั้งใจแต้มสีสวยๆ บนผ้าใบ หรือการเปลี่ยนก้อนดินธรรมดาให้เป็นแก้วสักใบนั้น ต้องใช้สมาธิและการฝึกฝนอย่างสูง ซึ่งตอนนี้ คุณมีทุกอย่างพร้อมแล้ว ทั้งเวลาและความมุ่งมั่น เพื่อจะถอนตัวเองออกจากความหมกมุ่นทั้งหลายทั้งปวงและได้ฝึกจิตให้อยู่กับ ปัจจุบัน แถมยังได้ผลงานศิลปะสวยๆ ไปฝากเพื่อนฝูงและคนใกล้ตัวอีก 

8. เรียนภาษาใหม่ๆ 

          ได้เวลาแล้วที่จะทำอย่างที่เคยคิด นั่นก็คือ การเรียนภาษาใหม่ๆ เพราะการเรียนภาษาเป็นหนึ่งในห้าอย่างที่คนทั่วไปมักจะนึกถึง เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากทำในชีวิตและยังไม่ได้ทำเสียที ถ้าอย่างนั้นมัวเสียเวลารออะไรอยู่ 

9. ปฏิบัติธรรม 

          หลังจากที่ผ่านกิจกรรมมาหลากหลาย ณ ตอนนี้ คุณอาจจะอยากศึกษา จิตใจของคุณจริงๆ การปฏิบัติธรรมทั้งฟังเทศน์ และการฝึกวิปัสสนาช่วยได้ในขั้นนี้ เหมือนที่พระท่านมักจะบอกอยู่เสมอว่า คนเราถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่เคยคิดถึงธรรมะ ในเวลานี้ลองพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการหาเวลาประมาณ 5-10 วันไปปฏิบัติธรรม เพื่อดีท็อกซ์จิตใจของคุณ 

10. ทำงานอาสาสมัคร 

          การ เรียนรู้ที่จะให้เป็นคุณสมบัติอันประเสริฐที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี หลังผ่านมรสุมอันเลวร้ายและหลุดพ้นมันมาได้ การให้จึงเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำ คุณสามารถเริ่มทำได้ง่ายๆ ด้วยการเก็บข้าวของในบ้านที่ไม่ใช้แล้วไปบริจาค หรืออาจจะเลือกไปร่วมงานอาสาสมัครต่างๆ ตามความสามารถและความสนใจของคุณ และไม่จำเป็นต้องรอให้หายจากอาการอกหักแล้วค่อยทำประโยชน์เพื่อคนอื่น คุณสามารถช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากหรือลำบากกว่าคุณในเวลานั้นได้ เพราะยิ่งคุณเห็นความลำบากและความสูญเสียของคนอื่น คุณก็จะได้มองออกนอกตัวเอง และเห็นว่าความทุกข์ของคุณนั้นเป็นเรื่องเล็กมาก เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น

โดย วิภานี กาญจนาภิญโญกุล
กรุงเทพธุรกิจ / กระปุกดอทคอม

Thursday, August 29, 2013

5 วิธีทำใจให้ได้ผลเวลาอกหัก




1. อย่าพยายามได้ยินเสียงเขาหรือรับโทรศัพท์เขา
     การได้ยินเสียงของเขาจะทำให้คุณคิดถึงเขาและยังคงห่วงหาอาทรเขาอยู่ แล้วคุณจะไปไหนไม่ได้คุณจะก้าวออกมาจากความเสียใจที่มีไม่ได้เพราะมัวแต่คิดถึงเขาแต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้ SMS แทนจะดีกว่า 

2. ทิ้งทุกอย่างที่ทำให้คุณคิดถึงเขา
     ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย ของใช้ หรือแม้แต่เพลงที่ฟังแล้วทำให้คิดถึงเขา และพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่คุณกับเขาเคยไปด้วยกันจะดีที่สุด  หรือถ้าทิ้งไม่ได้ก็พยายามเก็บไว้ให้ห่างจากสายตาของคุณสักพัก จนกว่าจะแน่ใจแล้วว่าคุณหายดีแล้ว เพราะถ้าคุณยังคงเห็นมันก็จะเป็นการตอกย้ำความเสียใจของคุณอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นหากทิ้งได้ก็ทิ้งมันไปเถอะนะ

3. อย่าพยายามตอกย้ำอกหักซ้ำซาก
     อย่ามัวแต่นอนซมอยู่บนเตียงเพราะพิษรัก ประมาณว่าฉันยังคงรักเพียงแต่เธอหรือมันยังอินในหัวใจ มันไม่ได้ช่วยรักษาให้คุณดีขึ้นแต่มันจะเป็นการทำลายมากกว่าพยายามลุกขึ้นมาจากเตียงให้ได้แล้วหาอะไรที่คุณทำแล้วสบายใจจะดีกว่า ถ้าอยากระบายให้หาเพื่อนคุยและระบายทุกอย่างที่อยากระบายให้เพื่อนฟัง ไม่ต้องเกรงใจเพื่อนเพราะในช่วงเวลาแบบนี้เพื่อนจะเป็นคนที่ช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้

4. พยายามคิดถึงสิ่งแย่ๆ ที่เขาได้ทำ
     แน่นอนว่าคุณอยากให้จบลงด้วยดีและหวังเป็นเพื่อนกันได้ แต่หากว่านั่นมันรังแต่จะทำให้คุณขมขื่นใจก็อย่าทำ ไม่ได้ให้เกลียดแต่ลองนึกดูว่าสิ่งที่คุณให้เขาและสิ่งที่ได้กลับมามันคืออะไร  เพราะถ้าเขารักคุณจริงเขาคงไม่ทำร้ายคุณหรอก จริงมั๊ย

5. ออกไปหาสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต
     การจมอยู่กับสภาพแงวดล้อมเดิมๆ สิ่งเดิมๆ มันจะทำให้คุณก้าวไปไหนไม่ได้ หรือเริ่มต้นใหม่ไม่ได้  เพราะคุณจะยังคงคิดถึงเขาอยู่อย่างนั้น ออกไปในที่ที่ไม่เคยไป ทำในสิ่งที่ไม่เคยได้ทำตอนอยู่กับเขา  การได้พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะเป็นการเปิดหูเปิดตาของคุณให้กว้างขึ้น บางทีคุณอาจจะพบว่าชีวิตคุณน่าจะดีกว่านี้ถ้าคุณเลิกกับเขาไปได้ตั้งนานแล้ว

แหล่งที่มา  http://planet.kapook.com

Tuesday, August 27, 2013

12 ประเภทกาแฟ ชอบดื่มแบบไหน มาทายนิสัยกัน !




กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตอีกชนิดหนึ่งที่มีคนนิยมดื่มกันมากมายทั่วโลก และบางคนก็ถึงขั้นติดงอมแงม ต้องกินทุกวันไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการปวดหัว และมีอารมณ์หงุดหงิดได้ง่าย ๆ อีกทั้งกาแฟก็ยังมีรสชาติมากมายให้เลือกดื่ม ก็เลยเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อ แต่ทราบไหมคะว่ากาแฟแต่ละประเภทก็มีความหมายแตกต่างกัน Doghouse Diaries เขาก็เลยนำความหมายของกาแฟในแต่ละประเภทมาทายนิสัยของคนดื่มให้ได้รู้ ส่วนคอกาแฟแต่ละคนจะมีนิสัยแบบไหน มาดูกันเลยค่ะ

 1.  เอสเพรสโซ่

             คุณเป็นคนอัธยาศัยดี และค่อนข้างปรับตัวเข้ากับสถานการณ์รอบข้างเก่ง หลงใหลรสชาติเบาบางของกาแฟ แต่ให้สัมผัสและกลิ่นหอมหวานน่ากิน

2.  ดับเบิลเอสเพรสโซ่

             คอกาแฟรสเข้มข้นอย่างกาแฟดับเบิลเอสเพรสโซ่ เป็นคนประเภทเอาจริงเอาจัง ขยัน ชอบทำงาน และแข็งแกร่งต่อปัญหาและอุปสรรคทุกอย่าง

3.  ทริปเปิลเอสเพรสโซ่

             ผู้ที่ชื่นชอบกาแฟแก้วนี้มักจะเป็นคนกระตือรือร้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะรสชาติเข้มข้นของกาแฟที่ดื่มเข้าไป

4.  มอคค่า

             คนที่ชอบดื่มมอคค่าเป็นคนที่รักความสนุกสนาน และมีความคิดสร้างสรรค์ดี แม้จะไม่ค่อยชอบรสชาติของกาแฟสักเท่าไร แต่ก็จำใจต้องกินเพราะง่วงซะมากกว่า

5.  ลาเต้

             คุณเป็นคนช่างคิด แต่ก็ไม่เด็ดขาด ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย คุณจะไม่ค่อยกล้าตัดสินใจทำอะไรเท่าไร เป็นคนประเภทปลอดภัยไว้ก่อน

6.  คาปูชิโน่

             คุณเป็นคนอบอุ่น แต่ไม่ค่อยระมัดระวังตัว เป็นคนโก๊ะ ๆ หน่อย แบบที่เพื่อนต้องคอยเตือนให้เช็ดครีมที่เลอะปากหลังจากดื่มกาแฟทุกครั้ง

7.  มัคคิอาโต

             คุณเป็นคนค่อนข้างหัวโบราณ และรักนวลสงวนตัว และสิ่งที่คุณไม่ชอบที่สุดเมื่อดื่มกาแฟมัคคิอาโตก็คือ คราบฟองนมที่ติดริมฝีปากจนดูคล้ายกับหนวดดี ๆ นี่เอง

8. กาแฟเย็น

             คุณเป็นคนเปิดเผยจริงใจ กล้าแสดงออก และรักอิสระสุด ๆ แถมยังหลงใหลการดูดกาแฟเย็น ๆ ผ่านหลอดเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย

9.  อเมริกาโน่

             คุณเป็นคนใจเย็นและค่อนข้างมีเหตุผล ชอบใช้ชีวิตง่าย ๆ อย่างเช่น ไปปิกนิกที่สวนสาธารณะ ชมนก และจิบกาแฟ เป็นต้น

10. เฟรปปูชิโน่

             คุณเป็นคนอารมณ์ดี และค่อนข้างมีพลังในชีวิต หลงใหลรสชาติกาแฟอยู่บ้าง แต่จริง ๆ แล้วติดใจรสชาติไอศกรีมมากกว่า

 11. กาแฟทูโก (Coffee To-Go)

             คุณเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังกับชีวิต และเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง ส่วนใหญ่คนที่เลือกดื่มกาแฟแบบนี้จะชอบลักษณะของแก้วที่ดูแน่นหนามั่นคง เพราะมีกระดาษหุ้มกันความร้อนอีกชั้น

12. เอ็กซ์เพรสโซ่

             คุณฉลาดและน่ารำคาญในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามว่ากาแฟแบบนี้ต้องออกเสียงว่า "เอสเพรสโซ่" แต่ทุกครั้งที่สั่งคุณก็จะพูดว่า "เอ็กซ์เพรสโซ่" จริงไหมล่ะ ?

             ทั้งหมดนี้ก็เป็นกาแฟประเภทที่คนนิยมดื่มกันเป็นส่วนใหญ่ ได้อ่านกันแล้วคอกาแฟทั้งหลายรู้สึกยังไงกันบ้างคะ ตรงกับนิสัยของตัวเองกันบ้างไหมเอ่ย ?


แหล่งที่มา  http://horoscope.kapook.com

Saturday, August 17, 2013

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์






                ผู้หญิง สมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
  
1. จิบน้ำบ่อย ๆ 


สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี


คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
 
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ


การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ


ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน


สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน


ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal


ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ


สมองใช้ออกชิเจน 20 - 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % 

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

http://www.nongdome.com/article_detail.php?e_id=31
เครดิตภาพ  http://www.lovethispic.com/image/254026/garden-roses