Tuesday, March 17, 2015

6 ข้อดีเมื่อปล่อยให้รักเป็นอิสระ ไม่ต้องตัวติดกันก็หวานได้



 


           ใครว่าล่ะ ว่าคนรักกันต้องตัวติดกันตลอดเวลา เพราะเรามีข้อมูลดี ๆ จาก เว็บไซต์ allwomenstalk  มาบอกกันว่า การให้ช่องว่าง อิสระ รวมทั้งมีระยะห่างซึ่งกันและกันน่ะทำให้ความรักของคุณแฮปปี้กว่าเป็นไหน ๆ อ๊ะ ๆ ใครที่ทำตัวติดคนรักอย่างกับแม่เหล็กหรือโทรจิกยิ่งกว่าแม่ไก่ก็ลองมาดูข้อ ดีของการอิสระกับความรักกัน

           
 1. ความสัมพันธ์สดใหม่เสมอ

             ก็แน่นอนล่ะสิ เพราะระยะห่างทำให้คุณมีเวลาได้คิดถึงกัน ไม่ว่าจะเจอกันหลังเลิกงานในวันที่พร้อม (ไม่ต้องเจอกันทุกวัน) หรือเจอกันช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มันก็ทำให้คุณรู้ซึ้งถึงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ว่ามันมีค่าแค่ไหน และคุณก็จะไม่เสียเวลาไปกับการทะเลาะ ที่สำคัญไม่ต้องเหนื่อยมาเจอกันทุกวันหลังเลิกงาน เพราะเชื่อว่าคุณและเขาก็เหนื่อยล้ากับหน้าที่การงานมาทั้งวันแล้ว แถมการทำอะไรที่ฝืนร่างกายก็ส่งผลต่อจิตใจด้วยเช่นกัน

          
2. มีเวลาเป็นของตัวเอง

            ใคร ๆ ก็อยากมีเวลาส่วนตัวทั้งนั้นไม่ว่าคุณหรือคนรัก อีกทั้งคุณก็มีสังคมเพื่อนฝูงที่จำเป็นต้องพบปะพวกเขาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา และคงไม่ดีแน่ที่คุณหรือเขาจะมาก้าวก่ายเวลาส่วนตัวของกันและกัน ดังนั้นการที่มีระยะห่างหรือให้อิสระแก่กันและกันจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อน คลายและได้ทำอะไรที่เป็นความต้องการของตัวเองจริง ๆ

          
3. ความรักพัฒนาขึ้น

            ในทุกความสัมพันธ์ต้องการความก้าวหน้าและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ความรักก็เช่นกันที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้จักกันและกัน นอกจากนี้ระยะห่างและอิสระยังมีส่วนสำคัญไม่น้อย เพราะมันทำให้คุณเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองในขณะที่คุณไม่ได้อยู่กับเขาตลอด เวลา และการมีช่องว่างหรือการอยู่กับตัวเองจะทำให้คุณแข็งแกร่งสามารถดูแลตัวเอง ได้ดี และนั่นหมายถึงคุณยังสามารถดูแลเขาได้ด้วย ไม่ใช่คิดแต่จะพึ่งพาเขาหรืออยู่ไม่ได้หากไม่มีเขาอยู่ด้วย

          
4. เข้าใจตัวเองมากขึ้น

            การอยู่กับตัวเองในบางครั้งก็ทำให้คุณได้ค้นพบความต้องการของตัวเองอย่างแท้ จริง และมันก็เป็นการชาร์จพลังอย่างหนึ่ง ลองคิดดูหากว่าคุณตัวติดกับเขาตลอดเวลาคุณก็ไม่สามารถเป็นตัวเองหรือทำตามใจ ตัวเองได้อย่างเต็มที่ และเมื่อมีระยะห่างให้คุณได้ทบทวนและทำตามใจตัวเองแล้ว คุณก็จะรู้สึกดีกับตัวเอง และแน่นอนว่าเมื่อต่างคนต่างชาร์จพลังกายพลังใจด้วยการทำตามความต้องการของ ตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว ยามที่คุณมาพบกันจึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและพร้อมจะแบ่งปันความสุขซึ่ง กันและกันมากกว่าการเรียกร้อง

          
5. ความรักเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย

            การเว้นช่องว่างหรือมีระยะห่างให้กันและกันจะทำให้คุณเข้าใจสัจธรรมที่ว่า "ไม่มีอะไรที่เป็นของเราและไม่มีใครจะอยู่กับเราได้ตลอดเวลา" เมื่อคุณเข้าใจสัจธรรมข้อนี้แล้วคุณก็จะไม่สร้างกฏเกณฑ์หรือตีกรอบให้ความ รัก เช่น ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของให้เขาอึดอัดใจ ในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เขามีอิสระทำอะไร ๆ ที่เขาต้องการ และแน่นอนว่าเขาจะรู้สึกสบายใจที่ได้คุณเป็นคนรัก

          
6. คุณไม่สูญเสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

            ถือเป็นข้อสำคัญเลยล่ะ ลองคิดดูว่าก่อนที่คุณและเขาจะมาพบกันนั้นต่างคนก็ต่างมีสังคมของตัวเอง ไหนจะเพื่อนฝูงหรือครอบครัว ดังนั้นการให้อิสระแก่กันและกันในการใช้เวลากับครอบครัวหรือสังสรรค์กับ กลุ่มเพื่อนจะทำให้ชีวิตของคุณทั้งคู่เติมเต็มในทุกด้าน เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะใช้ชีวิตกับเขาแค่สองคนโดยไม่แคร์ใคร

            การให้อิสระแก่กันและกันไม่ได้หมายถึงต่างฝ่ายสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่คำนึง ถึงอีกฝ่าย แต่หมายถึงการที่ต่างคนได้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการในขณะเดียวกันก็เปิดเผย สิ่งนั้นให้คนรักรับรู้ด้วย แบบนี้สิความรักของคุณจะเต็มไปด้วยความเข้าใจ ไว้ใจ และผ่อนคลาย

แหล่งที่มา http://wedding.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Monday, March 16, 2015

10 ข้อเท็จเกี่ยวกับความรัก เมื่ออกหักแล้วทำไมเป็นแบบนี้





           ช่วงเวลาที่คุณกำลังอินเลิฟอยู่นั้น หัวใจของคุณจะพองโตเป็นพิเศษแถมยังมีความสุขและมีกำลังใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ (นี่สินะที่เรียกว่าพลังแห่งรัก ><) ในขณะเดียวกันหากคุณอกหักอารมณ์และความรู้สึกของคุณก็จะตรงกันข้ามและเต็มไป ด้วยความเศร้าเสียใจ ซึ่งจะอธิบายให้ใครเข้าใจคงเป็นเรื่องยากหากคนคนนั้นไม่เคยเจอกับตัวเอง และสำหรับใครที่กำลังอกหักรักคุดอยู่นั้นก็ไม่จำเป็นต้องเร่งเวลาให้ตัวเอง หายดีเลย เพราะเว็บไซต์ cafemom เผยข้อมูลว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดความรู้สึกเหล่านี้ มาดูกันว่าตรงกับคุณหรือเปล่า หากว่าใช่ก็ไม่ต้องคิดมากไป เมื่อผ่านมาระยะหนึ่งแล้วคุณจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง

1. อกหักแล้วมันเจ็บจี๊ดที่หัวใจ

          ไม่ใช่แค่คำอุปมาอุปมัยเท่านั้นแต่มันเจ็บที่หัวใจจริง ๆ เหมือนที่บอกว่าใจหายแล้วรู้สึกวาบหวิวที่หัวใจนั่นแหละ เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกผิดหวังจากความรัก อารมณ์ของคุณจะส่งผลต่อระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งมีส่วนในการทำงานของหัวใจ และมันก็ทำให้หัวใจของคุณเจ็บจี๊ดจริง ๆ

2. กว่าจะข้ามผ่านช่วงเวลาเสียใจนั้นไม่ต่างจากการบำบัดยา

          เป็นเรื่องยากที่จะลืมใครสักคน ดังนั้นเมื่อยามที่คุณอกหักและพยายามจะตัดใจไม่รื้อฟื้นถึงความหลังก็ไม่ ต่างกับการบำบัดผู้ติดยาเสพติดเลย ในช่วงแรกคงเป็นระยะเวลาที่ทรมานที่สุดเพราะผู้ป่วยจะอยากยา เช่นเดียวกันเมื่อคุณอกหักแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเข้าไปส่องเฟซบุ๊ก หรือหักห้ามไม่ให้โทรหาอดีตคนเคยรัก เรียกว่าอาการอกหักนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ

3. กิน-ดื่ม...ระบายอารมณ์

          เมื่อคุณอยู่ในสภาวะอกหัก คุณมักจะหาวิธีระบายความเครียดนั้นด้วยการเลือกกินอาหารที่ตัวเองชอบโดย เฉพาะของหวาน หรือไม่ก็แอลกอฮอล์ที่คิดว่ามันจะช่วยทำให้อะไร ๆ ดีขึ้น

4. ความสัมพันธ์ครั้งใหม่มาเร็วกว่าที่คุณคิด

          เมื่ออกหักเรามักจะตีกรอบให้ตัวเองว่าชาตินี้รักใครไม่ได้อีกแล้ว ทั้งที่ความจริงคุณมีโอกาสจะพบปะใครอยู่เรื่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญในช่วงที่หัวใจอ่อนแอเช่นนี้ หากมีใครสักคนเข้ามาเยียวยาและทำดีกับคุณมาก ๆ คุณจะรู้สึกสนใจคนคนนั้นเป็นพิเศษ ทั้งนี้มันอาจไม่ได้เกิดจากความรักแต่เป็นเพราะความอ่อนแอของสภาพจิตใจในตอน นั้นของคุณมากกว่าที่อยากแค่มีใครสักคนเคียงข้าง รวมทั้งการเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับใครบางคนเพื่อประชดคนรักเก่าด้วย

5. จดจ่อกับความผิดหวังมากกว่าการเริ่มต้นใหม่

          นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมใคร ๆ ก็ไม่ลืมรักครั้งแรกหรือกลัวการเริ่มต้นใหม่อย่างจริงจัง คุณอาจจะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับใครอีกคน และไม่ว่าเขาคนนั้นจะดีกับคุณมากเท่าไรแต่ในใจลึก ๆ คุณเองก็กลัวว่าความรักครั้งใหม่จะจบลงอย่างเดิม นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของคนเรามักจะจดจำและฝังใจกับสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดใน อดีตมากกว่าจดจ่ออยู่กับความสุขในปัจจุบัน

6. ยิ่งผิดหวังมากก็ยิ่งเย็นชา

          อกหักครั้งแรกมักรุนแรงเสมอ แต่เมื่อคุณผิดหวังกับความรักบ่อย ๆ แม้มันอาจไม่ทำให้คุณร้องไห้ฟูมฟายเหมือนกับรักครั้งแรก ทว่าคุณก็ยังเจ็บปวดแต่ก็สามารถควบคุมตัวเองได้ดีกว่า ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของจิตใจก็อาจเต็มไปด้วยความเย็นชาจนเข็ดกับความ รักและกลัวการเริ่มต้นใหม่

7. รักครั้งแรกอยู่ในใจเสมอ

          ไม่ว่าคุณจะแต่งงานแล้วหรือผ่านเวลามาเนิ่นนานเท่าไร รักครั้งแรกยังคงฝังใจและเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันจางหาย รวมทั้งบางครั้งคุณอาจจะคิดถึงคืนวันเก่า ๆ มากเป็นพิเศษแม้ว่าคุณเองจะมีคนรักใหม่เคียงข้างแล้วก็ตาม ในเมื่อลืมไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องลืม เก็บมันไว้เป็นความทรงจำที่ดีแต่อย่าให้ความทรงจำเหล่านั้นมาทำให้ความรักใน ปัจจุบันพังทลายลงไปก็พอ

8. อกหัก..ปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิต

          ชีวิตคนเราต้องพบเจอกับสารพัดปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องส่วนตัว ครอบครัวแตกแยก หรือการสูญเสีย ซึ่งการวิจัยบอกว่าไม่มีปัญหาใดในชีวิตมนุษย์จะยิ่งใหญ่และยุ่งเหยิงเท่ากับ ปัญหาด้านความรักอีกแล้ว เปรียบเทียบง่าย ๆ คือ คนที่ทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายคนอื่น ๆ มีสาเหตุมาจากการอกหักมากกว่าสอบตก สูญเสียคนในครอบครัว ตกงาน หรือเรื่องอื่น ๆ

9. กินไม่ลงเมื่ออกหัก

          ในขณะที่บางคนเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์เพื่อระบายความเจ็บช้ำ แต่คนอกหักอีกกลุ่มก็มีอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ สืบเนื่องมาจากความเครียดและความวิตกกังวลมากเกินไป จึงไม่แปลกใจเลยว่าหลาย ๆ คนมักจะซูบผอม น้ำหนักลด และดูทรุดโทรมกว่าปกติ
 
  10. สับสนตัวเอง

          เมื่อคุณผิดหวังจากความรัก ชีวิตและความคิดของคุณดูเหมือนจะมีบางอย่างขัดแย้งกัน เช่น บางครั้งคุณก็คิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้วและบางครั้งก็โทษตัวเองที่เป็น สาเหตุที่ทำให้ต้องเลิกรากับคนรัก นอกจากนี้ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำไร้ค่า ไร้ความหมาย ในขณะเดียวกันก็มีบางมุมที่อยากทำทุกอย่างให้ดีขึ้นเพื่อลืมความเจ็บปวด หรือที่เรียกว่าฟุ้งซ่านนั่นแหละ

          เรียกว่าเป็นเรื่องชวนซับซ้อนไม่เบา งานนี้อ่านไปก็อาจไม่เข้าใจหากว่าคุณไม่เคยอกหักรักคุดมาก่อน ใครที่มีประสบการณ์แปลก ๆ ช่วงอกหักก็อย่าลืมนำมาแบ่งปันกันนะคะ รวมทั้งข้อคิดดี ๆ ที่ว่าทำไมคุณจึงผ่านมันมาได้เพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ที่กำลังช้ำรักอยู่ และเราก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณลุกขึ้นสู้ใหม่ อย่าลืมว่าอกหักเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตเท่านั้น

แหล่งที่มา  http://wedding.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, March 7, 2015

7 เหตุผลดี ๆ ที่เราควรดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละถ้วย





         รู้อยู่แล้วล่ะว่า ชาเขียวดีต่อสุขภาพ แต่ดีต่อสุขภาพขนาดไหน บอกได้ไหม ถ้ายังจำไม่ได้ เราขอแนะนำให้อ่าน แล้วดื่มชาเขียววันละ 1 ถ้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามนี้ 

          ประโยชน์ที่สุขภาพจะได้รับจาก "ชาเขียว" มีมากมาย ดังที่เคยได้ยินกันมาแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นชาเขียวที่ชงเองจากใบชา ไม่ใช่ชาเขียวบรรจุขวดพร้อมดื่มซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาล แต่หลายคนอาจจำไม่ได้ว่า ชาเขียวมีดีอย่างไร และทำไมเราถึงชวนให้คุณลองดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละถ้วย เว็บไซต์ time.com พร้อมไขคำตอบให้ฟังถึงสรรพคุณสุดเด็ดของชาเขียว ที่อาจทำให้ทุกคนเปลี่ยนใจหันมาดื่มชาเขียวแทนกาแฟแก้วโปรดยามเ­ช้าก็ได้ 

 1. เสริมความแข็งแรงให้กระดูก 

          นอกจาก "นม" แล้ว ใครเลยจะรู้ว่า ชาเขียวก็มีสรรพคุณในการปกป้องกระบวนการสูญเสียของมวลกระดูกได้­เหมือนกัน และยังช่วยลดความเสี่ยงที่กระดูกจะแตกหักจากการเป็นโรคกระดูกพร­ุนด้วย โดยการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition Research ย้ำให้รู้ว่า ผู้หญิงที่ดื่มชาเขียววันละ 3 ถ้วย สามารถลดอัตราเสี่ยงที่กระดูกสะโพกจะแตกหักจากโรคกระดูกพรุน ได้ถึง 30% 

 2. ป้องกันโรคมะเร็งตัวร้าย 

          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Maryland Medical Center ค้นพบว่า คนในประเทศที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำอย่างประเทศญี่ปุ่นมีอัตรากา­รเกิดโรค มะเร็งลดลง แม้จะมีอายุมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นนักวิจัยก็ยังไม่ได้ยืนยันว่า เป็นเพราะชาเขียวอย่างเดียวหรือไม่ที่มีส่วนทำให้อัตราการเกิดโ­รคมะเร็งของ คนญี่ปุ่นลดลง แต่มองว่าชาเขียวก็มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งได้ เพราะในชาเขียวมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ ป้องกันอนุมูลอิสาระไปจับกับ DNA จนเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางพันธุกรรม อันทำให้เกิดมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวยังช่วยปกป้องผิวหนังจากการทำลายของรังสียูวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย  

  
 3. คุมน้ำหนักไม่ให้พุ่ง 

          ข้อนี้สาว ๆ ที่อยากมีหุ่นดี น้ำหนักคงที่คงดีใจ เพราะมีการศึกษาพบว่า ชาเขียวช่วยลดไขมันในร่างกายได้ดี จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน รวมทั้งความอ้วนที่เกิดจากอาการป่วย อย่างเช่นโรคเบาหวานได้ด้วย 

 4. ลดระดับคอเลสเตอรอลตัวร้าย 
 
           ชาเขียวถ้วยโปรดของคุณช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลตัวร้ายที่เรียกว­่า "LDL" ได้ แม้ประสิทธิภาพของมันไม่ถึงขนาดที่ว่า ดื่มปุ๊บ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างฮวบฮาบ ทันตาเห็น แต่อย่างน้อยงานวิจัยก็เผยให้รู้ว่า ยังไง ๆ คนที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีระดับ LDL ลดลงมากกว่าคนที่ไม่ดื่มชาเขียวแน่ ๆ 

 5. เหงือกและฟันแข็งแรง 

          ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าชาเขียวจะช่วยดูแลสุขภาพในช่องปากได้ด้วย แต่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น พบว่า คนที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีอัตราการสูญเสียเหงือก รวมทั้งอาการเลือดออกตามไรฟันลดลง อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคปริทันต์ได้อีกต่างหาก ดังนั้นควรดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละแก้ว แล้วสุขภาพภายในช่องปากจะดีขึ้น 


 6. ห่างไกลโรคหัวใจ 

          อยากหาใครมาดูแลหัวใจก็อย่ามองข้าม "ชาเขียว" เด็ดขาด เพราะงานวิจัยของ Harvard Medical School เขาพบว่า การดื่มชาเขียวทุกวันช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาชิ้นหนึ่งที่เก็บข้อมูลชาวญี่ปุ่นกว่า 40,000 คน แล้วพบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง ลดลงถึง 26% 

 7. บูทพลังไม่ต่างจากกาแฟ 
 
         ใครติดดื่มกาแฟทุกเช้า เพื่อเพิ่มความสดชื่นและปลุกความกระปรี้กระเปร่าให้ตัวเอง ลองเปลี่ยนเป็นดื่มชาเขียวแทนดีกว่า เพราะชาเขียวก็มีคาเฟอีนที่ช่วยบูทพลังให้คุณได้เหมือนกันนะ โดยชาเขียว 1 ถ้วย (8 ออนซ์ หรือ 227 มิลลิลิตร) มีคาเฟอีนราว ๆ 24-45 มิลลิกรัม น้อยกว่ากาแฟ 1 ถ้วย ที่มีคาเฟอีนสูงถึง 95-200 มิลลิกรัมเชียว 

          นอกจากนี้ ชาเขียวยังมีหมัดเด็ดชนะกาแฟตรงที่ช่วยเพิ่มพลังให้เราโดยที่ไม­่มีอาการปวดหัว ใจสั่น หรือคลื่นไส้ วิงเวียนถามหาเหมือนกับการดื่มกาแฟมากเกินไป แถมคาเฟอีนในชาเขียวยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายอึดขึ้นในยามออกกำ­ลังกายด้วยล่ะ เพราะฉะนั้น นักกีฬาและคนชอบออกกำลังกายทั้งหลายสามารถดื่มชาเขียวได้เลย 

 
          เครื่องดื่มดี ๆ หลายชนิด ช่วยป้องกันสารพัดโรคได้ หนึ่งในนั้นก็คือชาเขียวนี่ล่ะ ว่าแล้วก็ลองหามาดื่มสักวันละถ้วย เพื่อรับประโยชน์ดี ๆ อย่างที่เราบอกไปนะคะ 


แหล่งที่มา  http://health.kapook.com/view113628.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, March 3, 2015

สถานที่ออกเดทแสนน่าเบื่อสำหรับผู้ชาย ที่คุณอาจไม่รู้





         การนัดเดทกับชายหนุ่มที่คุณสนใจเพื่อทำความรู้จักกันมากขึ้น แม้ว่าในเดทแรกหรือเดทครั้งที่สองอาจไม่ได้ทำให้รู้จักกันแบบทุกซอกทุกมุมก็เถอะ แต่อย่างน้อย ๆ มันควรจะทำให้คุณได้สบตาหรือรู้ใจกันมากขึ้นไม่ใช่เหรอ และการที่จะทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้ใจกันและกันมากขึ้นนั้น คุณทั้งคู่จำเป็นต้องเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาบ้าง อย่านัดเดทกันไปตามธรรมเนียมหรือทำอะไรอย่างที่ใคร ๆ ก็ทำกัน อย่างเช่นสถานที่ดังต่อไปนี้ ที่เว็บไซต์ hercampus บอกว่า มันน่าเบื่อสำหรับผู้ชาย จะจริงหรือไม่ ใช่หรือมั่ว มาดูกันเลย

1. พิพิธภัณฑ์

           ลองนึกภาพการทำความรู้จักใครสักคนผ่านพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์, พิพิธภัณฑ์รูปภาพ, พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งหรืออะไรก็ตาม อันที่จริงมันน่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อคุณรู้จักกันดีแล้วจะดีกว่านะ แถมมันยังไม่ใช่สถานที่โรแมนติกที่จะควงแขนกันมาดูความงดงามของภาพวาดหรือ รูปปั้นเลย >< โดยเฉพาะผู้ชายเองที่เขาอาจไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรดี

 
2. ดูหนัง

           เรียกว่าเป็นแผนการออกเดทยอดฮิตตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่จนมาถึงรุ่นเรา อันที่จริงก็คลาสสิกอยู่หรอก แต่ถ้าคุณทั้งคู่มีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันล่ะ อีกฝ่ายคงเซ็งไม่น้อย เช่นหากว่าเขาต้องมาดูหนังรักกุ๊กกิ๊กสายแบ๊วทั้ง ๆ ที่เขาชอบหนังบู๊แอ็คชั่น หรือคุณเองที่กลัวผีสุด ๆ แต่ต้องไปดูหนังลี้ลับเพื่อเอาใจเขา ที่สำคัญการเดทกันในโรงภาพยนตร์ก็ไม่ทำให้คุณได้สบตากันแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย

 
3. โยนโบว์ลิ่ง

           สำหรับการชวนกันไปโยนโบว์ลิ่งนั้น หนุ่ม ๆ เขาบอกว่า มันไม่ใช่การเดทที่น่าประทับใจเลยหากคุณกำลังทำความรู้จักกับใครสักคนแล้วมาโยนโบว์ลิ่งแข่งกัน อีกทั้งมันควรเป็นกิจกรรมสันทนาการเมื่อคุณรู้จักกันมากขึ้นแล้ว หรือไปเล่นกับกลุ่มเพื่อนจะดีกว่า

 
4. ช้อปปิ้ง

           บางทีหนุ่ม ๆ เขาแค่อยากเอาใจคุณด้วยการพาคุณไปช้อปปิ้ง แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบเลยก็เถอะ อย่าว่าแต่จะเดทกันเลย ต่อให้เป็นแฟนที่คบกันมานานก็เถอะ เพราะหนุ่ม ๆ เขามองว่าการเสียเวลาทั้งวันไปกับการช้อปปิ้งนั้น นอกจากจะเป็นการเสียเงินเกินจำเป็นแล้วพวกเขายังเบื่อที่ต้องรอคอยคุณเลือกของชิ้นนั้นชิ้นนี้พร้อมกับคำถามที่ว่า "อันไหนสวยกว่ากัน ?" ด้วย และมันก็ไม่ใช่การเดทที่จะทำให้คุณทั้งคู่รู้จักกันมากขึ้นเช่นกัน

 
           การเดทเพื่อทำให้คุณรู้จักกันมากขึ้นนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตามอย่างที่ใครบอกไว้ เพียงแค่คุยถึงความชอบของกันและกันพร้อมทั้งหาพื้นที่ตรงกลางที่คุณและเขามีความชอบในสิ่งเดียวกันดีกว่า นอกจากนี้ไม่ควรก้มหน้าก้มตาอยู่กับโลกออนไลน์ด้วยนะจ๊ะ ตามองตาแล้วหันหน้าพูดคุยกันดีกว่าเป็นไหนไหนเลย

แหล่งที่มา  http://wedding.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต