Saturday, September 28, 2013

คุณรู้หรือไม่? ทำอย่างไรให้เปิดใจ ตกหลุมรักใครสักคน ♥


        เมื่อถึง จุดหนึ่งของชีวิตที่คุณได้เห็นใครต่อใครทั้งคนใกล้ตัวไกลตัวต่างมีคนรักเป็นตัวเป็นตนกันแล้วทั้งนั้น แต่ที่ข้างกายคุณก็ยังคงว่างเปล่าไม่เปลี่ยนแปลง ถึงจะเหงา แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าได้เจอคนที่ใช่ที่คุณตามหาเลยสักครั้งเดียว จะทำอย่างไรให้ได้พบกับคนในฝันคนนั้นดี บางทีคำแนะนำเหล่านี้อาจช่วยคุณได้
 
1. ไม่ทำตัวเป็นคนช่างเปรียบเทียบ

         ตามสัญชาติญาณของคนเราที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง คุณอาจคิดว่าในเมื่อมีคนรายล้อมมากมาย ทำไมคุณจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่ดีที่สุดให้มาเป็นคนข้างกายคุณ อยากได้แฟนแบบนั้น นิสัยแบบนี้ แต่งตัวอย่างนี้ ฯลฯ ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบและมีครบทุกสิ่งที่คุณต้องการไปได้ หากคุณคิดว่าคนใกล้ตัวและสนิทที่สุดในตอนนี้ดี แต่ยังไม่พอ แทนที่จะมองสิ่งที่เขาขาด เปลี่ยนเป็นชื่นชมสิ่งดีๆ ที่เขามีอยู่ในตัวจะดีกว่า ถ้าคุณมัวแต่หาคนที่ดีพอ ก็คงไม่อาจได้เจอคนที่พอดีกับตัวคุณก็เป็นได้
 
2. ความโรแมนติกเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่เรื่องจำเป็น

         คุณอาจฝันถึงความรักโรแมนติกที่หอมหวาน และผู้ชายคนนั้นของคุณก็ต้องเป็นคนที่ทำให้คุณตกอยู่ในห้วงเวลาเช่นนั้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ชายที่มาพร้อมความโรแมนติกในตัวจะมีอยู่สักกี่คนเชียว ผู้ชายที่ดีอาจไม่ใช่คนโรแมนติก และผู้ชายที่โรแมนติกก็อาจไม่ได้เป็นผู้ชายที่ดีของคุณเสมอไป ความรักที่โรแมนติกเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ชอบ แต่มันไม่จำเป็นต้องมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจจะรักใครสักคน จริงไหม?

3. อย่ามีเซ็กส์ทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกรัก

         หากคุณคิดอยากจะพบรักแท้กับใครสักคน หลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ประเภท แค่ถูกตาต้องใจแล้วก็คบกันเพื่อความสนุกแบบเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แค่เติมเต็มความต้องการเสร็จแล้วก็ต่างคนต่างลา คุณประเมินคุณค่าของความรักต่ำเกินไปมาก แทนที่มันจะทำให้คุณรู้สึกรักและผูกพันกับใครสักคนหนึ่ง กลับทำให้คุณรู้สึกสับสนเมื่อถึงคราวที่จะได้พบเจอกับความรักจริงๆ คุณจะให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กส์ไว้ในลำดับใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการให้ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปในทิศทางใด แต่หากจะรัก อย่าให้ความสัมพันธ์ทางกายมามีความสำคัญเหนือกว่าความรู้สึกเลย 

4. ไม่ฝังตัวเองกับอดีต

         ไม่ว่าความรักครั้งที่ผ่านจะจบลงด้วยดีหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะเก็บความผิดหวังและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นเอาไว้ในใจ จนทำให้ตัวเองกลัวที่จะก้าวต่อไป หรือกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน เมื่อความสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้นใหม่คุณไม่อาจกำหนดให้อีกฝ่ายเป็นไปอย่างที่คุณต้องการได้ แต่คุณก็สามารถเลือกได้ว่าตัวคุณเองจะตอบสนองต่อการกระทำและความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างไร คุณย่อมรู้ดีว่าจะทำอย่างไรเพื่อลดความขุ่นมัว และการผิดใจกันได้ อย่างพูดเรื่องความรู้สึกของตัวเองให้มากขึ้น เปิดเผยต่อกันและกัน ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง กล้าพูดถึงปัญหาก่อนที่มันจะหนักข้อและบานปลาย จู้จี้ให้น้อยลง และปล่อยใจให้สนุกกับความรู้สึกดีๆ จากความรักมากขึ้น ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อยไร้สาระก็ตาม เปิดใจตัวเองออกมาจากความรู้สึกผิดหวังกับความรักครั้งเก่า และเริ่มต้นใหม่ด้วยความตั้งใจว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นให้ได้

5. กำหนดสเป็คกว้างกว่าเดิม 

         บางทีที่คุณไร้คู่มาจนกระทั่งบัดนี้ อาจเป็นเพราะคุณกำหนดสเป็คเอาไว้สูงเกินไปก็ได้ ทั้งสูงและแคบเกินไป กว่าจะเจอคนที่โดนใจก็เลยใช้เวลานาน และเมื่อพบแล้วก็ใช่ว่าคนที่โดนคนนั้นเขาจะเป็นคนที่เกิดมาเพื่ออยู่ข้างกายคุณเสมอไป สุดท้ายคุณอาจลงเอยที่ว่าขอใครก็ได้ สเป็คไม่ยุ่งยาก แค่เข้ากันได้ดีไม่มีปัญหาก็พอ อาจฟังดูเหมือนกำลังจนตรอก และเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ขอบอกจริงๆ ว่าตั้งสเป็คแบบนี้แหละ ที่จะทำให้คุณมีโอกาสได้เจอคนดีๆ มากมาย ถ้าคิดอย่างนี้แต่แรก เผลอๆ ป่านนี้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปตั้งนานแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ 

 6. จริงจังกับการคบกัน

         บางคนอาจจะบอกว่าตัวเองยังไม่มีแฟน เพราะยังกั๊กที่จะใช้คำนั้นกับคนข้างกาย อย่างไรก็ตามหากจะว่ากันตามตรงแล้ว การกำหนดคำว่าแฟนขึ้นมาเรียกชื่อคนรู้ใจ ไม่ได้สำคัญเท่ากับคุณจริงจังกับความสัมพันธ์ในครั้งนั้นแค่ไหน บางคนเรียกคนข้างกายว่าแฟน แต่ก็ไม่ได้คิดไกลไปกว่าคบให้รู้สึกดีไปวันต่อวัน ในขณะที่บางคนกั๊กคำว่าแฟนไว้แต่ตั้งใจจะศึกษากันอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำว่า หากคุณรู้สึกมั่นใจกับใครสักคนแล้ว อย่าอายหรือกั๊กที่จะเรียกเขาว่าแฟน การยกตำแหน่งนั้นให้ถือว่าเป็นการให้เกียรติและแสดงความรักกับเขาในทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ยังทำให้คุณทั้งสองรู้สึกสบายใจที่จะเปิดเผยต่อกัน (ก็ในเมื่อสถานะมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว) และศึกษากันได้ลึกซึ้งขึ้น (ดีกว่าคบแบบยึกยักมาตั้งเป็นปี กั๊กคำว่าแฟนเอาไว้ แต่พอเปลี่ยนสถานะเป็นแฟนจะได้ศึกษากันอย่างจริงจัง ไม่เท่าไหร่ก็ต้องลากันเสียแล้ว) โดยเฉพาะในเรื่องความซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียว ที่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากต่อความรัก อันจะพัฒนาไปเป็นความรักที่มั่นคงได้ 
   
     ความรักดีๆ ไม่ได้หายากอย่างที่ใครๆ คิดกลัว แต่ต้องเริ่มต้นจากตัวคุณที่มีทัศนคติที่ดีต่อความรัก และซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง หวังว่าหลังจากนี้ไปคนที่เหงาก็คงจะหายเดียวดายกันบ้างนะคะ

แหล่งที่มา  http://www.doyouknow.in.th

Sunday, September 22, 2013

วิธีอัพเกรดตัวเองให้มีค่าต่อตนเองและผู้อื่น




          ทำตัวให้มีความสุขและเป็นประโยชน์ต่อผู้ให้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีและมีคุณค่ามากที่สุด เราลองไปดูการอัพเกรดตัวเองให้ดูดีกันเลยดีกว่า

1. ลืมโชคชะตา

          อย่าให้โชคชะตามาครอบงำชีวิตทั้งหมดของคุณ คุณต้องลิขิตชีวิตเองบ้าง อย่าทิ้งผลงานเก่าๆ ให้เก็บรวบรวมประวัติการทำงานที่ดีของเราและเจ้านายเอาไว้ เพราะคุณอาจจำเป็นต้องรื้อมาปัดฝุ่นใช้อีก

2. พูดให้ดังขึ้น

          อย่ารอให้เจ้านายเป็นฝ่ายสั่งงานหรือคาดหวังว่าเราต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ควรหมั่นถามไถ่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นใช่ที่เจ้านายต้องการหรือเปล่า

3. รักษาสัมพันธภาพ

          อย่าพยายามทำตัวให้มีจุดเด่นเหนือคนอื่น การทำตัวกลมกลืนเหมือนๆ คนอื่น จะเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีในสถานที่ทำงานได้

4. ให้ความเชื่อใจ

          เชื่อใจผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา เปิดใจรับฟังทัศนคติจากเขา

5. รู้จักเรียนรู้

          ความรู้พื้นฐานสมัยนี้เปลี่ยนแปลงเร็ว จงหมั่นศึกษาเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ รอบตัว นอกจากเพื่อไม่ให้ตนตกยุคแล้ว ยังช่วยขยายโลกทัศน์ให้เราด้วย

6. หาที่ปรึกษา

          แม้ไม่มีใครทำหน้าที่แทนเราได้ก็น่าจะจับคู่กับใครสักคนที่มีทักษะการทำงานสอดคล้องกัน เอาไว้เป็นที่ปรึกษาและช่วยเหลือผ่อนหนักเป็นเบาในคราวจำเป็น

7. สร้างความสมดุลให้ตัวเอง

          ต้องสร้างความสมดุลให้กับชีวิตทำงาน มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ปล่อยให้งานมีอำนาจเหนือเรา

8. สนุกกับชีวิตหลังเลิกงาน

          สรรหากิจกรรมให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมงานหลังชั่วโมงทำงาน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และบรรเทาความเหนื่อยล้าหลังการทำงาน อาจจะทานอาหารเย็นร่วมกัน หรือร่วมสังสรรค์ในโอกาสพิเศษต่างๆ

9. ควบคุมความเสียหาย

          การทำงานอาจมีข้อบกพร่องได้ บางคนถึงกับถูกไล่ออก แต่อย่าเพิ่งสิ้นหวัง เก็บความผิดพลาดนั้นไว้เป็นบทเรียนดีกว่า

10. ทำในสิ่งที่ชอบชอบในสิ่งที่ทำ

          ถ้าเรารักสิ่งที่ทำ ผลงานย่อมออกมาดี แต่หากรู้สึกว่าไม่ชอบในสิ่งที่ทำเราก็จะไม่เต็มใจทำ ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ฉะนั้นคุณต้องเลือกงานให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

แหล่งที่มา  กระทรวงศึกษาธิการ
www.kapook.com

Friday, September 20, 2013

หารักแท้...หาอย่างไร?




การจะทราบว่าคนรักที่คบหากันอยู่นั้นเป็นรักแท้หรือไม่หลังจากคบหาดูใจกันได้สักพักและหมดช่วงหวานแหววไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความรักหลายสถาบันให้คำแนะนำไว้ดังนี้

1. อยู่ด้วยกันเฉยๆ โดยไม่มีกิจกรรมอะไรพิเศษแต่ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะชีวิตคู่ตามปกติแล้วหลังจากคบหากันได้พักหนึ่ง ก็จะไม่มีเรื่องหวานแหววให้รู้สึกวาบหวามตลอดเวลาเหมือนสมัยเพิ่งคบกัน ดังนั้น ถ้าอยู่ด้วยกันเฉยๆ ก็รู้สึกมีความสุข เป็นเรื่องบ่งชี้ที่ดีว่าเราทั้งสองคนชอบใช้เวลาร่วมกัน

2. ยอมปรับปรุงนิสัยเพื่อให้เข้ากับคนรัก เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าเราให้ความสำคัญและความเคารพคนที่เรารัก อยากทำในสิ่งที่คนรักมีความสุข เช่น จากเดิมที่เคยเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็หันมาประหยัดเก็บเงิน เพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน


3. เมื่อตัดสินใจทำอะไร จะคิดก่อนเสมอว่าจะมีผลต่อเราสองคนอย่างไร ไม่คิดถึงแต่ตัวเองเพียงคนเดียว ใช้คำว่า "เราสองคน" มากกว่า "ฉัน" หรือ "เธอ"

4. ไม่มีความลับปกปิด เพราะเวลามีรักแท้ เราก็อยากจะแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตทุกเรื่องไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ให้คนที่เรารักทราบ

5. สามารถเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่กับคนรัก ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพ วางฟอร์มให้ตัวเองดูดีตลอดเวลา ทำให้อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจว่าจะไม่ถูกตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ เพราะคนคนนี้รักในตัวตนที่แท้จริงของเรา

6. คนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงที่ใกล้ชิดสนับสนุนความรักของเราสองคน เพราะบางทีความรักจนหลงอาจทำให้เรามองไม่เห็นข้อเสียของคนที่เรารัก การที่พี่น้องเพื่อนฝูงเห็นดีเห็นงามไปกับความรักของเราก็นับเป็นสัญญาณที่ดีว่า
พวกเขาเห็นความดีของคนที่เรารักเหมือนกับที่เราเห็น


7. วางแผนอนาคตร่วมกันว่าแก่ตัวแล้วจะทำอะไร จะอยู่เคียงข้างกันจนแก่เฒ่า จนตายจากกัน

สำรวจดูแล้ว พบว่าตรงกับตัวเรา และความคิดของเรา กี่ข้อครับ?


โดยพิศณุ นิลกลัด
ข่าวสด 

Sunday, September 8, 2013

เมื่อไม่มีใครรัก....ทำอย่างไรดี



คำถามเรื่อง เมื่อไม่มีใครรักทำอย่างไรดี มีคนเขียนมาถามอยู่หลายครั้งครับ ผมเลยเขียนตอบไปว่า

"เรารักเค้า เค้าไม่รักเรา และเค้ารักเรา เราไม่รักเค้า เป็นธรรมดาของชีวิต เพื่อนที่รักเราก็ยังมี พ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักเราก็ ยังมี... แล้วถ้าเพื่อนก็ทิ้ง พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ด่าล่ะ จะทำอย่างไร... ก็ ให้ความรักตัวเองเสียเลย หรือจะทำสมาธิภาวนา หรือขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือช่วยเติมเต็มความรักให้เรา... หรือไม่ก็ชิงมอบความรักให้คนอื่นเสียเลยจะเป็นไรไปครับ

นอกนั้นผมเขียนให้กำลังใจน้องคนหนึ่งไว้ว่า "เพราะบางครั้งหัวใจต้องการรัก จนยอมแลกความเจ็บและบอบช้ำ เพียงเพื่อได้รักที่หวังใจ... ถ้าวันหนึ่งเติมเต็มรักให้ตนได้ คงอิสระที่จะรัก...อิสระจากความเจ็บ และบอบช้ำ... ขอให้มีกำลังใจครับ"

สิ่งที่ผมเขียนตอบนี้ได้มาจากการปฏิบัติเรื่องการ ให้ความเข้าใจตนเอง(Self Empathy) ซึ่งเริ่มต้นด้วยการให้เวลาสำรวจความรู้สึกและความต้องการในส่วนลึก เช่น รู้สึกเจ็บปวด เพราะต้องการความรักแต่ไม่ได้รับความรัก

ผู้คนจำนวน ไม่น้อยแสวงหาความรักจากคนอื่น จากภายนอก ซึ่งเราอาจพบความจริงที่ว่า เราอาจขอความรักได้ แต่เราไม่สามารถควบคุมให้ใครมารักเราได้ การยึดติดกับตัวบุคคลว่าเธอหรือเขาคนนั้นเท่านั้นที่จะเติมเต็มความรักให้ เราได้ อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวด ผิดหวัง และความรุนแรงต่อตนเองและต่อเธอหรือเขาคนนั้นได้เมื่อไม่สมหวัง

แน่นอนครับ เราอาจขอความรักความเข้าใจจากคนที่รักเราได้ อย่างไรก็ตามเราพบว่า ไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถจะรักและเข้าใจเราได้ทุกกรณีและตลอดเวลา... อย่างเช่น

ถ้าเราเศร้าเสียใจต้องการความรักตอนตี 3 ของทุกคืนแล้วเราก็โทรไปหาเพื่อนสนิทของเราคนหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกคืนๆ เราคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ? เป็นที่น่าสงสัยว่า เราจะยังคงได้รับความรักความเข้าใจหรือไม่?

การให้ความเข้า ใจตนเองจึงมีความจำเป็นสำหรับชีวิตของเรา เราสามารถเติมเต็มความรัก ความเข้าใจ หรือความต้องการในส่วนลึกอื่นๆที่ขาดหายไป... โดยอาจทำได้หลายอย่างเช่น การแบ่งปันความรู้สึกและความต้องการกับเพื่อนที่ยินดีรับฟัง การเขียนจดหมายรักถึงตนเอง ทำสมาธิเพื่อเติมเต็ม หรือภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถืออยู่เพื่อเติมเต็มความรัก ความเข้าใจ หรือความต้องการต่างๆที่ขาดหายไป

-------------------------------
ของฝากจาก การสื่อสารอย่างสันติ(กรุณา)โดย นริศ มณีขาว. คอลัมน์ไต่ตามโค้งตะวัน, อุดมศานต์. กรกฎาคม 2553. , http://www.carefor.org/content/view/1775/190/


Saturday, September 7, 2013

เลือกรองเท้าอย่างไร ให้ดีต่อสุขภาพ




คงปฏิเสธไม่ได้ว่า รองเท้าคู่เก๋นั้นเป็นแอคเซสซอรี่ข้างกายที่บ่งบอกถึงตัวตนและรสนิยมของสาวๆ แต่ละคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตั้งแต่ร้านเล็กๆ ข้างบ้านไปจนถึงห้างสุดหรู จะเต็มไปด้วยรองเท้าหลายแบบเพื่อให้ลูกค้าสาวๆ ได้เลือกคู่ที่ตรงใจมากที่สุด แต่จะมีสักกี่คนที่มองหารองเท้าคู่โปรดมากกว่ารูปลักษณ์ที่สวยงาม แต่ยังคำนึงถึงสุขภาพเท้าและผลที่จะตามมาหลังจากนั้นบ้าง วันนี้เราจึงมีเรื่องราวในการเลือกรองเท้าเพื่อสุขภาพที่ดีมาฝาก

             อันดับแรก  สาวๆ คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า รองเท้าในโลกนี้มีแตกต่างกันไปมากมายหลายแบบ แต่รองเท้าที่มีคุณลักษณะที่ดีนั้น สาวๆ จะมีวิธีการเลือกดูก่อนตัดสินใจซื้อได้อย่างไร พิจารณาได้จากลักษณะดังนี้

1.         รองเท้าที่ดีต้องมีลักษณะเหมือนเท้าของผู้ใส่
2.         วัสดุในการทำรองเท้าต้องนุ่มสบาย
3.         ควรสูงไม่เกิน 1 นิ้ว หรือหากต้องการความสูงจริงๆ ไม่ควรเกิน 2 นิ้ว และไม่ควรใส่เกิน 3 ชม. ในแต่ละครั้ง ถอดพักเท้าบ้าง เช่น ขณะทำงาน 
4.         เช็ครอยตะเข็บรอบๆ รองเท้า และไม่ควรมีตะเข็บที่ทำให้ไม่สบายเท้าขณะสวมใส่ เช่น บริเวณนิ้วโป้งเท้า
5.         หลีกเลี่ยงรองเท้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น รองเท้าที่ส่วนหัวทำจากยาง
6.         รองเท้าที่มีเชือกผูกหรือมีรัดส้น จะใส่ได้ดีกว่ารองเท้าที่เป็นแบบสวม หรือ slip-on shoes 


Tips : เคล็ดลับง่ายๆ ในการบริหารเท้า

           กระดกข้อเท้าขึ้นลงสลับกันอย่างช้าๆ 
           หมุนข้อเท้าเข้าออกอย่างช้าๆ เช่นกัน
           วางผ้าบนพื้น แล้วใช้นิ้วเท้าจิกผ้าผืนนั้นเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเท้า
           นั่งเหยียดขาตึง ยกขาและกระดกข้อเท้าขึ้นค้างไว้ นับ 1 – 6 ในใจ แล้วพักขาลง ทำลักษณะนี้ประมาณ 5 – 10 ครั้ง

            หลังจากที่ทราบถึงวิธีการเลือกรองเท้าที่ดีแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการเลือกให้เหมาะกับผู้ใส่ รูปเท้าและสุขภาพของเท้า  ซึ่งเราแบ่งประเภทให้สาวๆ เข้าใจได้ง่าย ดังนี้

คนเท้าแบน : แบ่งเป็นสองอย่างคือเท้าแบนแบบถาวรหรือมีส่วนกลางเท้ากว้างกว่าปกติ ควรเลือกรองเท้าที่มีข้างเท้ากว้างและมีพื้นที่นิ่มสบาย เพื่อความยืดหยุ่นรับกับหน้าเท้า และแบบที่สองคือ ผู้ที่มีเท้าแบนแบบชั่วคราว คือจะแบนเฉพาะเวลาเหยียบพื้น ให้เลือกรองเท้าที่เสริมบริเวณอุ้งเท้า (ช่วงกลางเท้า) และมีที่หุ้มด้านข้างและหลังเท้า 

คนที่มีอาการปวดส้นเท้า : รองเท้าที่เหมาะสมกับสาวๆ ที่ปวดส้นเท้าคือ รองเท้าที่มีพื้นนิ่ม มีส้นเล็กน้อยเพื่อถ่ายเทน้ำหนักไปด้านหน้าเท้า อาจจะมีส่วนที่เสริมอุ้งเท้าช่วยรับน้ำหนักด้วยก็ได้ 

คนที่มีอาการปวดฝ่าเท้าด้านหน้า : พบบ่อยในสาวๆ ที่รักการใส่ส้นสูง จึงควรเปลี่ยนมาใส่รองเท้าส้นเตี้ย พื้นนิ่ม และมีหน้าเท้ากว้าง เพื่อลดการบีบและเสียดสีของหน้าเท้า

เท่านี้สาวๆ ก็คงได้ข้อมูลดีๆ ในการเลือกซื้อและเลือกใส่รองเท้าให้เหมาะกับตัวเอง เพื่อสุขภาพเท้าที่ดี อันจะนำมาซึ่งสุขภาพกายที่ดีตามมาด้วย ส่วนเรื่องรูปแบบความเก๋ของรองเท้านั้น คงต้องยกให้สาวๆ แต่ละคนเลือกกันได้ตามความชอบ และงบประมาณในกระเป๋ากันได้ ณ บัดนาว!!!

  
แหล่งที่มา ข่าวสด