Saturday, December 29, 2012

อกหักให้เป็น



หลายคนให้นิยามของ ความรัก ไว้ต่างๆ นานา เช่น

ความรัก คือ การให้
ความรัก เป็น สิ่งสวยงาม
ความรัก คือ ความซื่อสัตย์ฯลฯ

แต่หาก ความรัก ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ ความรู้สึกผิดหวังในเรื่อง ความรัก ก็จะเกิดขึ้น และปรากฏเป็นอาการ
อกหักให้เห็น ซึ่งก็มีหลากหลายคำพูดอีกเช่นกันที่พยายามสื่อให้คนอกหักได้มีความรู้สึกที่ดีขึ้น เช่นอกหักน่ะเรื่องเล็ก อกเล็กสิเรื่องใหญ่บ้างก็ว่าอกหัก ดีกว่ารักไม่เป็น” “อกหักไม่ยักกะตายฯลฯ 

ดังนั้น หากคุณคิดจะรักใครซักคนจึงต้องยอมรับในเบื้องต้นก่อนว่า ครึ่งหนึ่งคือความเสี่ยงที่จะต้องอกหัก และอีกครึ่งหนึ่งคือความเป็นไปได้ที่จะมีรักที่มีความสุข เมื่อคิดจะรักก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงที่จะต้องลุ้น และหากเราเป็นพวกที่ต้องทนกินแห้วกระป๋อง ทำอย่างไรไม่ให้ความรักทำให้เราตาบอด ……… จึงต้องอกหักให้เป็น

อาการ อกหัก เป็นอย่างไร

สำหรับคนที่ไม่เคยมีความรัก หรือความรัก สุขสมหวัง ก็คงจะไม่รู้จักลักษณะอาการของคำว่าอกหัก
อาการ ที่อยู่ๆ ก็เกิดร้องไห้น้ำตาไหลพรากขึ้นมาเฉยๆ ขาดการยับยั้งต่อมน้ำตา สมองไม่สามารถสั่งการหรือใช้ในการประมวลผลเรื่องราวอะไรได้เลย นอกจากจะวนเวียนอยู่กับประโยคคำถามที่ว่า ฉันผิดอะไร” “ทำไมเธอไปจากฉัน” “เรากลับมารักกันอีกได้ไหม” 

หลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องเขา ช่วงนี้ชีวิตจะเหมือนล่องลอยไร้วิญญาณ ไม่รู้สึกรู้สากับสถานการณ์รอบๆตัว เกิดภาวะสับสนทั้งทางด้านอารมณ์และความรู้สึก ใจหวิวๆ รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน หายใจก็ขัดๆ ปวดท้องแต่ไม่อยากกินข้าวกินปลา ซึ่งอาการต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วง อกหักนี้ เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางเคมีภายในร่างกาย และจะส่งผลต่อภาวะอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงปฏิกิริยาของร่างกายด้วย

ทำไมอกหักจึงรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน

การที่คนเรารู้สึกเจ็บปวดเมื่ออกหักอาจเป็นผลมาจากกระบวนการทางเคมีในร่างกาย คือ เวลาที่คนมีความรัก สมองจะหลังสารที่เรียกว่า ฟีนิลเอธิลามีน (Phenylethylamine) ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยากระตุ้นประสาทอย่างแอมเฟตามีน สามารถทำให้สมองตื่นตัวและร่างกายมีกำลังมากขึ้น 

และเมื่อเกิด อกหักอย่างแรง สมองและร่างกายจะสูญเสีย ฟินิลเอธิลามีนอย่างเฉียบพลัน ซึ่ง ดร.ไมเคิล ไลโบวิตซ์ แห่งสถาบันจิตวิทยานิวยอร์ก อธิบายไว้ว่า อาการอกหักเพราะรักเป็นพิษนั้นจะคล้ายกับอาการถอนยาอย่างมาก

สารอีกตัวหนึ่งที่ส่งผลต่อความเจ็บปวดเมื่อคนเราอกหักก็คือ สารเอ็นโดฟินส์ (Endophins) โดย นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์สาขาอายุรกรรมสมอง รพ.กล้วยน้ำไท 1 ได้เล่าประสบการณ์จากการสังเกตคนไข้สองกลุ่มที่มีอาการป่วยเดียวกัน และพบว่า คนไข้ที่มีคนรักคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาจะมีอัตราการหายป่วยที่เร็วกว่าคนไข้ที่ไม่มีคนรักมาคอยดูแล 

อีกกรณีหนึ่ง เชื่อว่า สารเอ็นโดฟินส์สามารถลดความเจ็บปวดได้ โดยพบว่า ผู้ป่วยที่โดนมีดบาด หากมีคนรักมาคอยปลอบโยนร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ออกมา เพื่อปิดกั้นสัญญาณความเจ็บปวดที่จะส่งถึงสมอง จึงเป็นผลให้ลดความเจ็บปวดลงไปได้ 

ดังนั้น เมื่อคนเรา อกหักจึง เกิดการปรับเปลี่ยนของสารเคมีในร่างกายที่ไม่สมดุล ทำให้แต่ละคนมีการตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆ แตกต่างกันออกไปซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภูมิหลังการเลี้ยงดู วิถีชีวิตในปัจจุบัน ครอบครัว ภาวะทางสังคม หรือแม้แต่ปริมาณสารเคมีในร่างกาย จึงทำให้บางคนที่อกหักสามารถที่จะทำใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่คนอกหักจำนวนหนึ่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จึงนำไปสู่การฆ่าตัวตาย

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า เมื่อคนเราอกหักและ มีอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นมานั้น ล้วนส่งผลกระทบต่อปฏิกิริยาของร่างกาย ส่วนจะส่งผลกระทบมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับภาวะการปรับตัวรับกับสภาพการอกหักได้มากน้อยเพียงใด
 
อกหักให้เป็น….ทำอย่างไร

เมื่อ อกหักหาก จะห้ามไม่ให้คนเรารู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ให้รู้สึกเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้า หรือสับสนทางอารมณ์และความคิด คงจะเป็นไปไม่ได้ 

ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ความสับสนทางอารมณ์และความคิดต่างๆ เหล่านั้นไม่เกินเลยจนส่งผลกระทบต่อตนเอง จึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและปรับอารมณ์ ความคิดและพฤติกรรมให้เข้าสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด
 
วิธีปรับความคิด อารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ให้สามารถรับมือกับภาวะอกหักให้ได้ โดยการ อกหักให้เป็นมีดังนี้ 

1. ถ้าอยากร้องไห้ ….. จงร้องให้เต็มที่
ระบายความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดแสนออกมาทางน้ำตา อย่าพยายามเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ การร้องไห้เป็นการระบายอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้มีการปรับความสมดุลทางอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติหรือ ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

2. เสียใจได้…..แต่อย่าให้เสียคน
การเสียใจทำให้เราได้รู้ว่า อย่างน้อยเราก็มีหัวใจไว้รักไว้เจ็บ มีความทุกข์ความสุขได้เหมือนคนอื่น ต้องรู้จักควบคุม รู้จักความพอดี อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่าและอย่าคิดทำร้ายตัวเอง อย่าลืมว่าเรายังมีพ่อแม่ที่รักเรามากที่สุด และเป็นความรักที่ยั่งยืนที่สุดด้วย แล้วคิดเสียว่าก่อนจะมีใครคนนั้นเราสามารถมีชีวิตอยู่มาได้ และเมื่อเขาไปเราก็ต้องอยู่ต่อไปได้เช่นกัน

3. อย่าแบกทุกข์ตามลำพัง กลับไปหา พ่อแม่ดีที่สุด
พูดคุยกับท่าน ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นและเจ็บปวดแสนสาหัสให้ท่านฟัง แล้วเราจะได้รับกำลังใจอันมีค่าที่สุดจากท่าน หรืออาจใช้วิธีเขียนความรู้สึกลงในกระดาษ ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

4. ปฏิวัติตัวเองเสียใหม่
พยายามปรับปรุงตัวเองในภาพลักษณ์ใหม่ที่ไฉไลและดูดีกว่าเดิม อย่าปล่อยให้ตัวเองหน้าโทรม ผมเผ้ารุงรัง ตาปูด ผอมโซ อย่าให้ชีวิตรักที่ไม่สมหวังมาทำให้ตัวเองต้องจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ตลอดเวลา

5. หันเหความสนใจไปทำกิจกรรมอื่นๆ
อย่าเก็บตัว แรกๆ อาจจะต้องฝืนความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ถ้าได้ลงมือปฏิบัติแล้ว อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ จะดีขึ้น เช่น เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เป็นต้น

6. ให้คิดเสียว่าประสบการณ์อกหักเป็นประโยชน์ต่อชีวิต
เพราะมันจะเป็นเหมือนสะพานอีกขั้นหนึ่งให้เราได้ก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ให้เราได้ใช้ชีวิตอีกระดับหนึ่ง และกำไรที่เหลืออยู่จากประสบการณ์อกหักก็ คือ ได้เรียนรู้ว่ารักเป็นอย่างไร ถ้าไม่สุขจนล้นมาเสียก่อนจากการได้รักและถูกรัก แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ็บเจียนตาย นอนน้ำตาไหลพรากเป็นท่อน้ำประปาแตกนั้นมันทุกข์แค่ไหน

แม้ ความรัก ที่ไม่สมหวังทำให้ต้องสูญเสียความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้แก่กันไปมากน้อยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งทำลายความเป็นตัวของตัวเองให้ลดน้อยไปมากเพียงใดก็ตาม แต่หากเราได้เรียนรู้เพื่อที่จะ อกหัก" ให้เป็นความรัก ที่ไม่สดใสอาจกลายเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เรามองเห็นโลกที่กว้างใหญ่และสวยงามขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ 


อาจดูว่ามันอ้างว้าง แต่ว่าทางที่เดินก็กว้างพอ ไม่ต้องรอไปแบ่งกับใคร

แหล่งที่มา  http://blog.eduzones.com

Friday, December 28, 2012

ความรักคืออะไร?




เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?"

วันนี้เรามีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ
 
คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"

หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครสักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ

หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง

หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย

หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณสักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย

หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆ ที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ

หากคนรักของคุณยอมสละเวลา ทำบางสิ่งเอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครสักคนคอยใส่ใจเราบ้าง

หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า

"ถึงหรือยัง"

"ปลอดภัยดีไหม"

"เหนื่อยไหม"

หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า

"โชคดีนะ"
"ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"

หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า

"ขับรถดีๆนะ"

หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ

ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆ ด้าน คุณอาจคิดว่ายิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่กลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน

ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครสักคน

เพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????

แหล่งที่มา  http://guru.google.co.th 




Thursday, December 27, 2012

อย่างน้อย.....เราเคยรักกัน (รึป่าว...??)



แม้ว่าเวลาของความผูกพัน มันอาจจะสั้น จนเหมือนเราไม่ได้รักกัน

และตอนนี้ความห่างไกลก็ได้ใกล้เรามากขึ้นเพื่อที่จะแทรกให้เราห่างกันไปทุกที......
เธออยากรู้ไหม ว่าทำไมเราต้องห่างกัน ฉันพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง จนวันแล้ววันเล่า ฉันก็ยังไม่เข้าใจ
 
หรืออาจเป็นเพราะเวลาของเธอกับฉันได้หมดลงแล้ว คนบนฟ้าคงกำหนดให้เรามาพบกันแค่เท่านี้
และเค้าก็ทำให้เราจากกัน มันไม่ยุติธรรมเลยที่เค้าทำให้ฉันรักเธอ ทำไมเค้าถึงไม่ทำให้ฉันแค่รู้จักเธอเท่านั้นนะ
 
ถ้าฉันรู้อะไรล่วงหน้า ว่ามันจะเป็นแบบนี้ สาบานได้ ฉันจะไม่รักเธอแม้สักนิดเดียว
มันช่างทรมานเหลือเกินกับความรู้สึกที่ฉันเป็น ฉันเสียใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้.......
การสูญเสียครั้งนี้ฉันจะเรียกร้องจากใคร

(บางทีคนเราก็ต้องการระยะห่าง...เพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเอง ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเค้าคนนั้น)

มันช่วยฉันได้มาก แล้วตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับฉัน
ฉันคงเข้าข้างตัวเองที่คิดไปว่า..... อาจเพราะคนบนฟ้าอาจกำลังสงสัย เราสองคนอยู่ ว่าเรารักกันจริงหรือเปล่า
เค้าเลยทดสอบให้เราห่างกัน แยกเราไปคนละทาง เพื่อทดสอบว่า ถ้าเราต้องใช้ชีวิตเพื่อรอคอยใครบางคน
ช่วงเวลาที่รอนั้น จะเป็นตัววัดความรู้สึก และพิสูจน์ความแข็งแรงของความรัก
วัดการกระทำ ความเสมอต้นเสมอปลาย กับการอดทนด้วยเงื่อนไขเวลาของการห่างไกล
เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้รู้ว่าเราได้เลือกถูกคนหรือไม่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
กับการต้องทำหัวใจไม่ให้หวั่นไหวกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ที่คอยเข้ามาทำให้ไหวหวั่นกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน
ความห่างไกลจึงเหมือนเป็นตัววัดปริมาณความรักของเรา

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้ เราจึงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เราคิดไปล่วงหน้า ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้
และถ้าเธอจะอยู่ หรือเธอจะไป จะรักกันมากขึ้น หรือน้อยลง ก็จะเป็นเพราะเราสองคน
คงไม่ใช่ความต้องการของฉันฝ่ายเดียว หรือเธอฝ่ายเดียว

(คงจะไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวและเลวร้ายไปกว่า การยอมรับความรู้สึกตัวเองอีกแล้ว........ใช่มั๊ย)

การได้รักเธอ.......มีวันที่เลวร้าย มีวันที่สวยงาม มีวันที่ว่างเปล่า 

สุขก็อยู่กับเราไม่นาน ทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน
 
สุขเคยแวะผ่านมาแล้วก็ไป ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน 
 
ถึงแม้ว่าการได้รัก คือ การเสี่ยงที่จะไม่ได้รับรักตอบแทน การตั้งความหวัง คือ การเสี่ยงที่จะเจ็บปวด
การพยายาม คือ การเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่น่าอันตรายที่สุดถ้าชีวิตนี้ ฉันไม่เสี่ยงอะไรเลย

ถึงแม้ว่าเรื่องราวระหว่างเราอาจจะไม่เป็นดังที่เราหวังเลยสักนิดเดียว หรืออาจจะไปไม่ถึงฝัน..............

ฉันรักเธอและอยากให้เธอมีความสุข แม้ว่าความสุขนั้น จะไม่ได้หมายถึงว่ามีฉันอยู่ด้วยก็ตาม........

คัดข้อความบางช่วงบางตอนมาจาก  http://www.postsmiles.com

 

Wednesday, December 26, 2012

เหรียญในมือ...บทความดีๆ เกี่ยวกับความรัก



เคยได้ยินไหมที่ผู้ใหญ่มักจะบอกว่าถ้าจะรักใคร คิดจะแต่งงานกับใคร 

ถ้าเป็นผู้ชายให้นึกถึงตอนที่ผู้หญิงคนนั้นหน้ามันอยู่ในครัว นั่งเลี้ยงลูก ไม่ได้แต่งหน้า ไม่น่ามอง ถ้าเป็นผู้หญิงให้นึกถึงตอนที่ผู้ชายคนนั้นหัวล้าน อ้วนพุงพลุ้ย นุ่ง กางเกงขาสั้นอยู่กับบ้านไม่หล่อไม่เท่อีกต่อไป 

เรารับได้ไหมเรายังจะรักเขาอยู่ไหม

เพราะเมื่อถึงตอนนั้นความสวยงาม ภายนอกจะค่อยๆ หมดไป

ความรู้สึกเป็นพิเศษกับคนๆ นี้จะถูกความเคยชินเข้ามาแทนที่

แต่เราจะยังรักเขาอยู่ได้ก็ด้วยความดีในตัวเขา ความเข้าใจ ความเอื้ออาทรต่อกัน

มีคนเคยกล่าวไว้อีกว่าถ้าจะรักใครสักคนให้พยายามใช้สมองในอัตราที่ใกล้ๆกับการใช้หัวใจ 

อย่ารักจนหลง อย่าให้ความรักทำให้เราตาบอด
ให้มองด้วยสายตาคนภายนอกซึ่งเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อเราว่าเขามีความเห็นอย่างไร

การปรึกษาผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนยังคงได้ผลดีอยู่เสมอ

อย่าหลงคนที่ตอนจีบตอนเพิ่งคบกันเขามาคอยเอาใจ

เพราะไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ถ้าเราไม่รัก ไม่สนใจเขา ไม่เคยดีกับเขาเลย วันนี้เขาอาจยังอยู่กับเราและดีกับเรา

แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเจอคนที่ดีกับเขามากๆ อย่างที่เขาดีกับ เราในวันนี้ เขาจะยังทนเราอยู่ไหม... 

อย่าหลงคนที่วันนี้เขาอดทนกับเราเหลือเกิน เพราะความอดทนทุกคนมีขีดจำกัด

อย่าหลงคนที่ดีผิดปกติและทำกับเราอย่างคนพิเศษจนน่าใจหาย

เพราะไม่มีใครทำอย่างนี้ในเราได้ตลอดเวลาไปตลอดชีวิตแต่

ให้เห็นค่าของคนที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเขาพยายามและอยากจะทำอะไรให้เรา

อย่างน้อยก็เกือบๆ เท่ากับที่เขาอยากทำให้ตัวเขา เองเพราะคนที่ให้เราได้ขนาดนี้หรือมากกว่านี้ก็คงมีแต่พ่อกับแม่เท่านั้น

ถ้าได้เจอคนแบบนี้ อย่าปล่อยให้ผ่านไป และรู้ไว้ด้วยว่าเราคือคนที่โชคดีที่สุดแล้ว

ในบางครั้งเมื่อเรารอความรักเรากลับหามันไม่พบ
แต่เมื่อเราไม่ต้องการมันกลับประดังเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติด 
ดังคำที่ว่า

Love is something, That can't be predicted,
It comes as a surprise, when you least expect it.

ไม่มีใครรู้หรอกว่าความรักที่แท้จริงจะมาถึงเมื่อไหร่ 
เราจะได้เจอคนๆนั้นเมื่อไหร่ หรือคนๆ นี้ที่เจอจะใช่คนที่เรารอ ไหม

บางคนอาจได้เจอคนๆนั้นตั้งแต่ยังเด็กเป็นเพื่อนเล่นกันมา
ในขณะที่บางคนกลับใช้เวลารอคอยครึ่งค่อนชีวิตกว่าจะได้เจอ

บางคนคิดว่าใช่แน่นอนแล้ว แต่สุดท้ายกลับต้องแยกจากกัน

บางคนรู้จักกันมานานไม่ได้คิดอะไรกลับได้ลงเอยกันในที่สุด

ความรักไม่ใช่เรื่องของการชั่งน้ำหนักว่าใครดีกว่าใคร แต่เป็นเรื่องของใครเหมาะสำหรับเรามากกว่า 

ความรักขึ้นอยู่กับ โอกาส เวลา สถานการณ์ 


ถ้าคนที่เหมาะสมก้าวเข้ามาในชีวิตเราในเวลาที่เหมาะสม 

เราพร้อมเขาพร้อม 

นั่นก็เป็นโชคของเรา เป็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คนๆนั้นจะต้องยอมเสียสละ ยอมปรับตัวให้เข้ากับเรา ทำเพื่อเรา 

ในขณะ เดียวกัน 

เราจะต้องเห็นค่าของเขามากพอที่เราจะเสียสละและปรับตัวเพื่อเขาเช่นกัน

คู่ของใครก็สำหรับคนนั้นถ้าคนๆนี้ของเราเขาทำเพื่อเราทุกอย่าง

ถึงเราจะไม่สวย ไม่หล่อ ไม่โดดเด่นกว่าใครๆ 
เขาก็ยังคงมองเราเพียงคนเดียว
ปฏิบัติต่อเราอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
และทำให้เรารู้สึกว่าเรามีค่าสำหรับเขาซะเหลือเกิน....

ถึงตอนนั้นคนรอบข้างเราจะดี จะน่ารัก จะเป็นยังไงไม่สำคัญแล้ว

ไม่ต้องพิจารณาแล้ว... เพราะถ้าเราได้เจอคนที่เหมาะสม ที่เข้ากับเราได้

คนที่เราแน่ใจว่าเขามีค่าสำหรับเราจริงๆ
เราก็ไม่จำเป็นต้องมองใครอีกแล้วในโลกนี้...

ถ้าหากไม่เจอคนๆนั้น หรือไม่เจอคนที่เห็นค่าของเรา
ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะเรามีค่าและเราควรจะ รู้ว่าค่าของตัวเองมีมากเพียงใด...

"เพชร" ไม่ว่าจะมีคนพบหรือไม่ก็ยังเป็นเพชร ธาตุแท้ของเพชรไม่เคยเปลี่ยน 

"เรา" ไม่ว่าจะ ได้เจอคนๆ นั้นหรือไม่ เราควรจะรู้ค่าของตนเอง เห็นค่าของตนเอง และรู้ด้วยว่าคุณค่าของเราไม่เคยเปลี่ยนไปเช่นกันเหมือนเหรียญในมือ

ไม่ว่าเราจะอยากดูหรือไม่ ผู้ใหญ่จะแบมือให้ดูหรือไม่
เหรียญก็ยังคงเป็นเหรียญๆ เดิมและค่าของมันก็ ไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิมเลย รู้สึกเป็นพิเศษอีก

ขอบคุณ : Bloggang คุณ Annie
          http://variety.teenee.com