Friday, October 31, 2014

เวลาเครียด จะทาน จะเลี่ยง อาหารแบบไหนกันดีล่ะ



          ถ้าไม่อยากจมปลักอยู่กับความเครียด ต้องดู 14 อาหารที่ควรรับประทานและควรหลีกเลี่ยงเมื่อเกิดความเครียด

          หลังจากสิ้นสุดวันที่แสนเหน็ดเหนื่อย คุณหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่ต้องแบกเอาหน้าบึ้ง ๆ และความเครียดเอาไว้ตลอดทั้งวันก็คงอยากจะผ่อนคลายด้วยอาหารจานโปรดและขนมแสนอร่อยกันใช่ไหมล่ะคะ แน่นอนว่าอาหารหลายชนิดสามารถช่วยให้ความเครียดลดลงแถมยังทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้อีกด้วย แต่อาหารบางชนิดก็อาจจะไปส่งเสริมความเครียดให้เพิ่มขึ้นอีก งั้นเราจะควรรับประทานอะไรดีล่ะ? วันนี้เราจะพาไปดูกันจากเว็บไซต์ prevention.com ลองมาดูกันสิว่าอาหารชนิดไหนที่ควรทานและควรเลี่ยงเวลามีความเครียด ไม่อยากเครียดซ้ำเครียดซ้อนก็ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะ

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
ขนมอบ

          ถ้าคุณชอบกินขนมบรรดาขนมอบต่าง ๆ อย่างเช่น โดนัท เค้ก หรือ ขนมปังละก็ บอกเอาไว้เลยค่ะว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้ช่วยทำให้ความเครียดลดลงได้นะ ซ้ำร้ายมันจะยิ่งทำให้เครียดยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย เพราะอาหารเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ไฟเบอร์ที่จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังมีน้ำตาลอยู่ในปริมาณสูงซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแปรปรวน และนั่นล่ะเป็นสาเหตุที่จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นไงล่ะคะ


 
มันฝรั่งทอดกรอบ

          มันฝรั่งทอดกรอบ แม้จะทำให้รู้สึกเพลิดเพลินเวลารับประทาน แต่มันก็มีคาร์โบไฮเดรตมากเลยล่ะค่ะ นี่ยังไม่นับเจ้าไขมันทรานส์ ศัตรูตัวร้ายของร่างกาย ซึ่งมีการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวคฟอเรสต์ พบว่าอาหารที่มีไขมันทรานส์สูงเป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักขึ้นและรอบเอวที่จะทำ ให้คุณเครียดยิ่งกว่าเดิม


 
กาแฟ

          จริงอยู่ที่มีผลการพิสูจน์แล้วว่ากาแฟช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ และช่วยจำลองการทำงานของโดปามีนในสมอง ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้า แต่กาแฟที่มีรสชาติหวานมาก ๆ อย่างเช่นกาแฟปั่นชนิดต่าง ๆ หรือ กาแฟที่มีเติมไซรัปมากเกินไปก็สามารถทำให้เครียดได้ยิ่งกว่าเดิมค่ะ เพราะน้ำตาลที่อยู่ในกาแฟนอกจากจะเพิ่มปริมาณแคลอรี่อย่างมหาศาลให้ร่างกาย แล้วก็ยังไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเกิดความแปรปรวน และส่งผลให้ระดับคอร์ติซอลเพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ


 
ซีเรียลบาร์

          ซีเรียลบาร์ถึงแม้จะทำจากธัญพืชก็จริง แต่กว่ามันจะมาเป็นแท่งได้ ก็ต้องใช้น้ำตาลจำนวนมากเช่นเดียวกัน และเช่นเดียวกับอาหารชนิดอื่น ๆ ที่บอกไปข้างต้นค่ะ ว่าระดับน้ำตาลที่สูงจะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หลีกเลี่ยงดีกว่าเนอะ


 
เฟรนช์ฟรายส์

          ที่จริงแล้วเจ้าเฟรนช์ฟรายส์ก็ไม่ได้ต่างจากมันฝรั่งทอดกรอบเท่าไรเลยล่ะค่ะ เพราะมีทั้งไขมันทรานส์ และคาร์โบไฮเดรตที่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนคอร์ติซอล แถมยังมีการศึกษาพบอีกว่าเจ้าอาหารขยะชนิดนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของภาวะซึม เศร้าได้อีกด้วย


 
ไอศกรีม

          ไอศกรีม ถึงแม้จะหวานอร่อย แต่มันก็นำมาซึ่งความเครียดที่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะระดับน้ำตาลที่สูง และปริมาณแลคโตสที่จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างหนักจนเกิดความตึงเครียด ในระบบย่อยอาหาร แทนที่จะอารมณ์ดีก็อาจจะทำให้หน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิมนะ


 
น้ำอัดลม

          อย่าคิดว่าเจ้าน้ำอัดลมเครื่องดื่มสุดโปรดของใครหลาย ๆ คนจะรอดพ้นค่ะ เพราะน้ำตาลที่อยู่ในน้ำอัดลมเทียบเท่ากับน้ำตาลถึง 10 ก้อน ! โอ้ย ... เยอะแยะขนาดนี้ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่จะตามมาเลยค่ะว่าระดับฮอร์โมนความเครียด จะเพิ่มขึ้นขนาดไหนกัน แต่ถ้าใครจะเถียงว่างั้นน้ำอัดลมแบบไดเอตก็รับประทานได้สิ เพราะไม่มีน้ำตาล นั่นก็ผิดถนัดเลยล่ะ เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลจะไปทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่ส่งผลโดยตรงต่อโรคอ้วนและโรคเบาหวานอีกด้วย ดังนั้นเลิกดีกว่าเนอะ


 
อาหารที่ควรรับประทาน

ข้าวโอ๊ต อบเชย และน้ำผึ้ง

          ข้าวโอ๊ตร้อน ๆ ที่แสนอร่อยที่มีกลิ่นหอมของอบเชยและรสชาติหวานกลมกล่อมของน้ำผึ้ง นอกจากจะทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีคาร์โบไฮเดรตที่ดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับของฮอร์โมนอารมณ์ดี หรือเซโรโทนิน แถมอบเชย ยังช่วยลดภาวะแปรปรวนของระดับน้ำตาลซึ่งมาจากข้าวโอ๊ตและช่วยลดอารมณ์หงุด หงิดได้อีกด้วย ส่วนน้ำผึ้งนอกจากจะให้รสชาติหวานแล้ว ก็ยังเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย เห็นไหมล่ะคะ มีประโยชน์กว่าของหวานอื่น ๆ เยอะเลย แต่ถ้าคุณอดใจที่จะดื่มกาแฟไม่ได้ ก็ลองเปลี่ยนจากการใช้นมเป็นส่วนผสมมาใช้นมถั่วเหลืองมาทดแทนก็จะช่วยให้ ระดับเซโรโทนินในร่างกายเพิ่มขึ้นได้เช่นกันค่ะ


 
ผักทอดกรอบ

          ผักทอดกรอบ หลายคนอาจจะคิดว่ามันต้องมีน้ำมันเยอะ และทำให้อ้วนอย่างแน่นอน แต่ที่จริงแล้วแค่เพียงเปลี่ยนจากน้ำมันชนิดอื่น ๆ เป็นน้ำมันมะกอกที่ดีต่อสุขภาพกับเกลือเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เป็นของว่างที่ดีต่อสุขภาพได้ค่ะ เพราะมีการศึกษาล่าสุดพบว่าการรับประทานน้ำมันมะกอกทุกวันจะช่วยสร้างเสริมฮอร์โมนความสุขอย่างฮอร์โมนเซโรโทนินได้มากกว่าไขมันชนิดอื่น แถมผักชนิดต่าง ๆ ก็ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างเช่น แครอท และคะน้า ที่มีสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งมีการศึกษาจากคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า สารแคโรทีนอยด์มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้คนเราเกิดความพึงพอใจอีกด้วย


 
น้ำผลไม้

          วิตามินซีที่สูงจากน้ำผลไม้สามารถช่วยให้อารมณ์ดีได้ เพราะวิตามินซีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังช่วยสร้างเสริมฮอร์โมนอารมณ์ดีอย่างเซโรโทนิน นอกจากนี้กล้วยปั่นก็สามารถช่วยได้เช่นกันนะ เพราะเจ้ากล้วยหอมนี่ล่ะมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งจะไปช่วยทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ค่ะ


 
ถั่วและเมล็ดพืช

          อาหารจำพวกถั่วและเมล็ดพืช อย่างถั่วพิสตาชิโอ อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดฟักทอง เป็นอาหารในกลุ่มที่มีไฟเบอร์สูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยทำให้ความดันโลหิตลดลง โดยมีการศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ที่รับประทานถั่วพิสตาชิโอจะมีความวิตกกังวลลดลง ในการทำแบบทดสอบคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ ไขมันโอเมก้า 3 ที่อยู่ในถั่ววอลนัทยังช่วยลดอาการซึมเศร้า และเซเลเนียม (Selenium) ในถั่วอัลมอนด์ก็ยังช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย ส่วนในเมล็ดฟักทอง ก็ยังมีสารทริปโตเฟน (Tryptophan) ที่ไปทำให้สมองสร้างฮอร์โมนเซโรโทนินอีกด้วย แต่ก็ควรรับประทานอย่างพอเหมาะ เพราะถั่วและเมล็ดพืขนี้ก็มีแคลอรี่เยอะใช่ย่อยนะคะ


 
มันเทศ

          ถ้าคุณชอบกินมันฝรั่งมาก ๆ แต่ก็อยากจะเลี่ยงมัน มาลองรับประทานมันเทศดูสิคะ เพราะนอกจากมันจะมีรสหวานและอร่อยแล้ว ยังมีสารอาหารอยู่เพียบเลยล่ะ โดยเฉพาะแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยลดความเครียดได้อย่างดี แถมเจ้ามันเทศก็ยังมีคาร์โบไฮเดรตที่มีประโยชน์ ที่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแปรปรวนเลยล่ะค่ะ


 
โยเกิร์ตกับเบอร์รี

          โยเกิร์ตเป็นของว่างที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการหลั่งของสารสื่อประสาทที่ช่วยทำให้รู้สึกดี ที่สำคัญยังไม่ทำให้อ้วนด้วยล่ะ และถ้าหากคุณอยากจะให้อร่อยและอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีกก็ลองรับประทานคู่กับลูกเบอร์รีสดซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันอยู่เพียบเลยล่ะ ยิ่งทานยิ่งได้ประโยชน์นะเออ


 
ชาเขียว

          การศึกษาในปี 2011 พบว่าสารแอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่อยู่ในชาเขียว จะช่วยทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง แถมระดับคาเฟอีนที่อยู่ในชาเขียวก็ยังช่วยทำให้คุณใจเย็นลงได้ด้วยล่ะ แต่ก็ควรจะรับประทานชาเขียวที่ชงจากใบอบแห้งดีกว่า เพราะการรับประทานจากชาเขียวสำเร็จรูปบรรจุขวดดูจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไร แถมยังมีระดับน้ำตาลในเลือดแปรปรวนพ่วงท้ายมาอีกด้วย


 
          ความเครียด ไม่ใช่แค่เพียงอาหารเท่านั้นที่ช่วยได้ การหากิจกรรมอย่างอื่นที่มีประโยชน์อย่างเช่น ออกกำลังกาย หรือหางานอดิเรกทำก็ช่วยได้เช่นกัน รวมทั้งการมองโลกในแง่ดี ก็สามารถทำให้ความเครียดที่สะสมอยู่คลายลงได้ แต่ก็ไม่ควรจะไปดื่มแอลกอฮอล์หรือพึ่งสารเสพติดนะคะ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้หายเครียดแล้วยังทำร้ายสุขภาพอีกด้วย เอาล่ะค่ะ จบแล้ว ใครที่กำลังเครียดอยู่ก็ลองไปหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพรับประทานกันแก้เครียดดีกว่านะคะ ไปกันเลย !


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Thursday, October 30, 2014

10 นิสัย "ตอนเช้า" ที่ทำให้คนที่ประสพความสำเร็จ ต่างจากคนอื่น







คุณรู้หรือไม่ว่า อะไรที่ทำให้คนที่ประสบความสำเร็จนั้น มีความเครียดน้อย มีความสุข และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าคนอื่นๆ? สาเหตุก็คือ พวกเขารู้ว่า อะไรบ้างคือเรื่องที่สำคัญสำหรับเขา โดยเฉพาะในเวลา ตอนเช้าที่เขาตื่น สิ่งที่เขาทำสิ่งแรกไม่ใช่เช็คอีเมล์ แต่เป็น เวลาที่เขาให้กับตัวของเขาเอง และทำธุระส่วนตัวของเขาที่สำคัญก่อนอันอื่น วันนี้เราเลยเอา 10 นิสัย ตอนเช้า ที่ทำให้คนที่ประสบความสำเร็จ ต่างจากคนอื่น มาฝากกัน มีอะไรบ้าง ไปดู! 



1. ตื่นเช้ามาก

แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่า เวลามีค่ามากแค่ไหน เพราะฉะนั้น คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะเลือกตื่นเช้าสุดๆ บางคนตี 5 บางคน ตี 4 ครึ่ง หรือจะตี 4 เลยก็มี เพราะนอกจากเขาจะมีเวลามากกว่าคนอื่นๆ แล้ว เขายังมีโอกาสใช้เวลาตอนเช้าทำเรื่องของตัวเอง ก่อนที่จะทำงานอีกด้วย

เพราะฉะนั้น ลองเริ่มตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิมวันละ 15 นาทีไปเรื่อยๆ สิ รับรอง คุณจะได้ใช้วันเวลาคุ้มแน่ๆ  


2. ออกกำลังกายเผาผลาญแคลอรี่

และนี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการออกกำลังกายหักโหม หรือเผาผลาญมากๆ เท่านั้น เพียงการเล่นโยคะ ยืดเส้นสายก็ทำได้เช่นกัน และนี่คือสิ่งที่ Christies ซึ่งเป็น CEO ของ Steve Murphy ทำมาโดยตลอด เพราะการออกกำลังกายไม่ใช่แค่ทำให้สมองปลอดโปร่ง สุขภาพดีเท่านั้น แต่มันยังให้คุณจัดการกับความเครียดได้ง่ายกว่าด้วย

เพราะฉะนั้น หาเวลาออกกำลังกาย เริ่มต้นจากวันละ 10-15 นาทีในตอนเช้า อาจจะเต้นแอโรบิค หรือวิ่งจอกกิ้งในบริเวณบ้านของคุณ แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว


3. ชั่วโมงแห่งพลัง!

แรงบันดาลใจ และแรงกระตุ้น ทำงานไปเรื่อยๆ ก็อาจจะหมดได้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเติมมันอยู่เรื่อยๆ และนี่คือสิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จทำ ในตอนเช้าเขาจะอ่านหรือฟังบทความ หรือวิดีโอที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจ หรือแรงกระตุ้นในการทำงานของเขานั่นเอง

ลองใช้เวลาประมาณ 30 นาทีตอนเช้า อ่านหรือฟังเรื่องราวดีๆ ที่ให้กำลังใจคุณสิ ทั้งวันของคุณก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเลยล่ะ!


4. จดบันทึกความรู้สึก ขอบคุณต่อสิ่งที่คุณได้รับ

หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่า ดูแปลกๆ แต่ลองคิดใหม่!

ความสุขไม่ได้มาจากการโหยหาสิ่งที่คุณยังไม่มี แต่มันคือการซาบซึ้งกับสิ่งที่คุณมีแล้ว ได้รับแล้วต่างหากล่ะ และนี่คือสิ่งที่คนที่สำเร็จเขาทำกัน เพื่อสร้างโลกในแง่บวก ให้ทั้งวันในการทำงานของเขานั้นมี ความสุข

ในทุกๆ วัน จด 1 สิ่ง ที่คุณรู้สึกขอบคุณเพราะคุณได้มันมา หรือสำเร็จแล้ว แม้เป็นเรื่องเล็กๆ ก็ตาม


5. ถามคำถามกับ ตัวเอง

ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตคุณ คุณยังจะทำสิ่งที่คุณกำลังจะทำในวันนี้หรือไม่

คำถามนี้เป็นคำถามที่ยาก และถ้าคุณพบว่า คุณตอบว่า ไม่หลายครั้งเกินไปในหนึ่งสัปดาห์ คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างแล้วล่ะ


6. ทำเรื่องที่ยากที่สุดก่อน

ในตอนเช้าที่คุณมีพลังงานเต็มถัง มีสมองที่สดชื่น คุณนอนอิ่ม เพราะฉะนั้น การทำงานที่ยากที่สุดก่อน คุณจะมีโอกาสที่จะทำมันสำเร็จลุล่วงได้ง่ายกว่า

ในทุกวัน เลือกงานที่ยากที่สุดเพียง 1 อย่าง แล้วทำมันให้เสร็จก่อนที่คุณจะทานข้าวเช้าเสียด้วยซ้ำ


7. พูดคุยกับคนที่คุณรัก

ไม่ว่างานของคุณจะยุ่งแค่ไหน อย่าลืมใส่ใจคนที่คุณรัก ในตอนเช้า คือเวลาที่ดีในการพูดคุยถามไถ่กับคนที่คุณรัก อาจจะคุยถึงแผนการวันนี้ของแฟนคุณ หรือลูกคุณว่าจะทำอะไรบ้าง บางทีคุณอาจจะตั้งไว้ 1 วันต่ออาทิตย์ที่คุณจะออกไปทานข้าวเช้าในร้านใกล้บ้าน และนี่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรักอยู่ยืดแน่นอน


8. วางแผนงานและกลยุทธ์

ถ้าคุณไม่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย วางแผนในหัวว่าวันนี้คุณจะทำอะไรบ้าง คุณจะไม่รู้เลยว่า คุณจะเดินไปถูกทางหรือไม่ คุณจะสำเร็จเป้าหมายระยะสั้นที่คุณตั้งไว้หรือไม่ เพราะฉะนั้น ลองใช้เวลาราว 10 นาทีวางแผนดู มันจะทำให้คุณควบคุมเวลาในหนึ่งวันของคุณได้ดีขึ้น เชื่อสิ!


9. นั่งสมาธิ เคลียร์หัวให้โล่ง

ทำใจให้สงบ ให้ความเงียบและสันติจากภายในเกิดขึ้น ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการนั่งสมาธิ หรือสวดมนต์ วิธีนี้จะช่วยคุณรับมือกับความเครียดที่มีอยู่ หรือกำลังจะมีในแต่ละวันได้ดี จำไว้ว่า 90% ของโรคต่างๆ เกิดจากความเครียด เพราะฉะนั้น หยุดซักนิด แล้วตั้งมั่นที่ลมหายใจของคุณ นั่งสมาธิ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น


10. กอดลูกๆ ของคุณ

นี่คือข้อสำหรับคนที่มีลูก มีครอบครัว อย่าให้คุณต้องกลายเป็นพ่อแม่ที่ทำงานหนักจนจำวันเกิดลูกของตัวเองไม่ได้!

ในตอนเช้า ช่วยลูกคุณจัดการตัวเองก่อนไปโรงเรียน เรื่องแต่งตัว อาหารเช้า และกอดเขาก่อนส่งไปโรงเรียน นี่จะเป็นการสร้างสายใยในครอบครัวของคุณได้ดีมากๆ เลยทีเดียว


ที่มา  http://www.kiitdoo.com, https://blog.eduzones.com/rangsit/136604
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Wednesday, October 29, 2014

7 จุดของผู้หญิงที่ผู้ชายสนใจ ก่อนจะเดินหน้าจีบ




        แม้หน้าตาจะไม่สวยเหมือนดารา หุ่นไม่เป๊ะเหมือนนางแบบ ก็สามารถเป็นที่สนอกสนใจของหนุ่ม ๆ ได้ หากมีจุดใดจุดหนึ่งในร่างกายที่ตรงกับความชอบพวกเขา ได้แก่ 7 จุดในร่างกายของผู้หญิงที่ผู้ชายส่วนใหญ่ให้ความสนใจเป็นพิเศษที่เว็บไซต์ allwomenstalk.com นำมาบอกกล่าวกันในวันนี้

 ดวงตา

          จุดแรกที่ผู้ชายส่วนใหญ่ให้ความสนใจกันมากที่สุด เพราะดวงตาหน้าต่างของหัวใจและจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากผู้ชายหลายคนจะหลงใหลในจุดนี้ของผู้หญิง และโดยทั่วไปแล้วดวงตายังเป็นสิ่งที่สื่อให้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวผู้หญิงคนหนึ่งด้วย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่คำพูดระหว่างคำพูดเป็นเรื่องจริงกับเรื่องโกหก

รอยยิ้ม

          จุดที่ผู้ชายให้ความสนใจไม่แพ้ดวงตาของผู้หญิงเลยทีเดียว แต่ทว่าเมื่อผลออกมาแบบนี้ก็ไม่ค่อยรู้สึกประหลาดใจเท่าไรนัก เพราะทุกคนต่างก็ชอบมองคนยิ้มเก่งกันอยู่แล้ว อีกทั้งมีหลายงานวิจัยเลยที่ชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเช่นไรก็จะเป็นคนที่น่าสนใจทันทีแค่เพียงคุณเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ดังนั้นหลังจากนี้ก็พยายามยิ้มบ่อย ๆ กันนะคะ

เส้นผม

          ความสวยงามและสุขภาพผมก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ชายให้ความสนใจกันมากทีเดียว อีกทั้งผลการวิจัยจากหลาย ๆ ที่ยังชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผู้ชายให้ความสนใจมักจะเป็นคนที่มีผมสุขภาพดี รู้จักจัดแต่งผมให้เป็นทรง ในขณะเดียวกันก็มีเส้นผมที่นุ่มสลวย ดูเงางาม เพราะมันเป็นสัญญาณของความอ่อนเยาว์ ในขณะที่ผลการสำรวจอีกส่วนหนึ่งเผยให้เห็นว่ามีผู้ชายไม่น้อยเลยที่ชอบผู้หญิงผมยาว พลิ้วไสวดูเป็นธรรมชาติและมีกลิ่นหอม

เรียวขา

          ผู้หญิงหลายคนอาจจะรู้สึกประหลาดใจ แต่สำหรับผู้ชายถือเป็นเรื่องปกติมากที่พวกเขาจะชอบผู้หญิงสักคนหนึ่ง เพราะมีเรียวขายาว ๆ โดยผลการสำรวจจากผู้ชายจำนวน 200 คน ได้เผยให้เห็นว่าผู้ชายให้ความสนใจเป็นพิเศษ หากผู้หญิงคนนั้นมีเรียวขายาวกว่าความยาวเฉลี่ยของเรียวขาของผู้หญิงทั่วไปประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์

หน้าอก

          แม้หลายคนจะคิดว่าหน้าอกเป็นส่วนที่ผู้ชายให้ความสนใจเป็นอันดับแรก แต่เอาเข้าจริงก็น้อยกว่าดวงตาอย่างที่ได้บอกไป อีกทั้งยังมีผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นด้วยว่า ผู้ชายจะให้ความสำคัญกับส่วนนี้หลังจากที่พบว่าผู้หญิงคนนั้นมีดวงตาหรือรอยยิ้มที่น่าสนใจ สำหรับพวกเขา เพราะหน้าอกเป็นส่วนที่ช่วยทำให้ภาพรวมของผู้หญิงคนนั้นดูอ่อนเยาว์และบอกถึงความสมบูรณ์ของร่างกายเท่านั้นเอง

การแต่งตัว

          ตอนนี้มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าผู้ชายชอบผู้หญิงที่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว มีเซ้นส์ในการเลือกเสื้อผ้า และที่สำคัญต้องไม่เปิดเผยเนื้อหนังมังสามากเกินไป เพราะการแต่งตัวของผู้หญิงสามารถบอกอะไรได้หลายอย่างเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความคิด นิสัย หรือความชอบส่วนตัว ดังนั้นก่อนออกจากบ้านก็อย่าลืมดูแลเรื่องเสื้อผ้ากันสักหน่อย จะได้สื่อตัวตนที่แท้ออกไปให้คนอื่นรู้กันมากขึ้น

ผิว

          นอกจากสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงแล้ว ผิวก็ยังเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้ชายต่างก็ให้ความสนใจไม่แพ้กันเลย เพราะผู้ชายมองว่าผิวของผู้หญิงบอกถึงสุขภาพที่ดีและการดูแลตัวเอง ผู้ชายก็เลยคิดต่อไปว่า ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติในข้อนี้ ถือเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับการเป็นแม่ และช่วยทำให้พวกเขาเองมีชีวิตที่สมบูรณ์แข็งแรงได้

          จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายจุดเลยทีเดียวที่ผู้ชายให้ความสนใจ แต่ที่ยกมาให้ดูกันนี้เป็น 7 จุด ที่ผู้ชายส่วนใหญ่ให้ความสนใจกันมากที่สุดเท่านั้นเอง ดังนั้นหากคุณอยากจะสร้างความประทับใจให้ใครสักคน ก็อย่าลืมดูแลทั้ง 7 จุดนี้กันเป็นพิเศษหน่อยนะคะ คนในฝันที่คุณกำลังตามหาหรือมองอยู่ทุกวัน จะได้หันกลับมาสนใจคุณบ้าง


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, October 28, 2014

5 เส้นทาง สู่การนำความคิดในแง่บวกมาใช้กับความรัก




             การคิดบวกหรือมองโลกในแง่ดีไม่ได้ช่วยลดความตึงเครียดในชีวิตเท่านั้น แต่การคิดบวกยังช่วยกำจัดความคิดในแง่ลบให้น้อยลงได้ด้วย ซึ่งถ้าหากทำได้ตามนี้นอกจากจะมีชีวิตที่เป็นสุขแล้ว เวลาที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คุณก็ยังสามารถพาตัวเองออกจากปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกต่างหาก รวมไปถึงการมีความรักที่ดีที่คุณเองก็สามารถสังเกตเห็นได้ หากนำวิธีการคิดในแง่บวกไปปรับใช้กับความสัมพันธ์ของคุณ ตามเส้นทางที่เว็บไซต์ magforwomen.com อยากให้ลองนำไปใช้กันดู
 

            
 1. คิดถึงด้านดี ๆ ก่อนจะทำร้ายคนรักด้วยคำพูด

             ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดเวลาหรอก เพราะทุกคู่ต่างก็ต้องมีช่วงที่รู้สึกแย่ ๆ ด้วยกันทั้งนั้น แต่ทั้งนี้ก่อนที่จะทำอะไรแย่ ๆ ลงไป ให้คิดเสียว่ามันเป็นบททดสอบบทหนึ่งของความรักแล้วกัน เพราะเมื่อคุณมองว่ามันเป็นบททดสอบก็จะทำให้คุณมีความอดทนและพยายามหาทาง แก้ไข เพื่อรักษาหรือทำความรักกลับมาเหมือนเดิมได้ดีกว่า ในขณะเดียวกันการมองในด้านดีของสิ่งต่าง ๆ ยังทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายกลับดีขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

           
2. ใช้ข้อดีกำจัดข้อเสีย

             ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณจะมีความคิดในด้านลบหรือมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้นเมื่อ ตกหลุมรักใครสักคน โดยเฉพาะคนที่อยู่คนเดียวมานานเกินไปหรือมีบางอย่างในชีวิตกำลังจะเปลี่ยน แปลงไป เพราะมันเป็นส่วนที่จะทำให้รู้สึกไม่พอใจหรือหึงหวงคนรักมากขึ้น แต่หลังจากนี้แทนที่จะจมอยู่กับความคิดแย่ ๆ ควรใช้เวลาเหล่านี้มองหาข้อดีของตัวเองและคนรัก เพื่อทำให้คุณรู้สึกมีความมั่นใจในความรักครั้งนี้มากขึ้นดีกว่า
 
           
 3. มองความรักในแง่บวกอยู่เสมอ

             เมื่อคุณกลายเป็นคนคิดบวก คุณก็จะไม่รู้สึกกังวลกับการเลิกรากับคนรักเลยแม้แต่น้อย เพราะในหัวของคุณไม่มีพื้นที่มากพอให้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ หรือถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง ๆ ความรู้สึกแย่ ๆ ก็จะอยู่กับคุณเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยความคิดในด้านบวกจะทำให้คุณมองเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งของ ชีวิต และคุณอาจจะรู้สึกขอบคุณมันด้วยซ้ำที่เข้ามาทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น แถมยังไม่สามารถทำลายความศรัทธาที่คุณมีต่อความรักอีกต่างหาก

            
 4. เชื่ออยู่เสมอว่าความรักสามารถเพิ่มขึ้นได้

             เมื่อคุณมองโลกในแง่บวกก็จะทำให้เริ่มเชื่อว่าคุณสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ความรักดีขึ้นได้เช่นกัน และในจุดนี้ก็ยังส่งผลให้คุณกล้าที่จะรักและได้รับความรักเพิ่มขึ้นด้วย เพราะต่างคนต่างก็มีความสุขอยู่แล้วในตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหาใครมาเติมเต็มอีกต่อไป แถมยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนรักของคุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นอีกด้วย

           
5. มองการทะเลาะให้เป็นเรื่องดี

             การเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการทะเลาะ โดยมองว่าการทะเลาะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น แทนที่จะมองว่าการทะเลาะเป็นจุดแตกหักของความรัก ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะทำให้ความรักดีขึ้น พร้อมทั้งทำให้พวกคุณทะเลาะกันน้อยลงด้วย

             การคิดบวกหรือมองโลกในแง่ดีไม่ได้ช่วยให้ชีวิตส่วนตัวของคุณมีความสุขเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ความรักของคุณดีขึ้นตามไปด้วย และทุกคนสามารถทำได้เพียงแค่นำความคิดในด้านบวกมาปรับใช้กับความรักตาม 5 เส้นทาง ที่ได้แนะนำกันไปในวันนี้ ความรักของคุณจะได้สวยงาม ราบรื่น และพัฒนาไปข้างหน้าไปอย่างรวดเร็วอย่างไรละ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต