Sunday, July 28, 2013

เคล็ดลับสู่การเป็นสาวมั่น...โดนใจชายหนุ่ม



 
การเป็นผู้หญิงสวยอย่างเดียวคงไม่พอเสียแล้ว เพราะถ้าหากคุณสวยแต่กลับขาดความมั่นใจ เวลาจะทำอะไรสักอย่างมักเกิดความสับสน ลังเลอยู่เสมอ ไม่สามารถตัดสินใจให้ชีวิตตัวเองอย่างชัดเจนได้ มีอะไรต้องพลอยปรึกษา พึ่งพาคนอื่นอยู่ตลอด แบบนี้... ต่อให้คุณมีผู้ชายเพอร์เฟคต์มาจีบ คุณก็อาจจะเกิดความลังเลสับสนเช่นเดิมและจุดนี้อาจทำให้เขามองเห็นถึงความไม่แน่นอนหรือความไม่มั่นคงในตัวคุณ  

ดังนั้น สาวๆ จงจำไว้ว่าการเป็นผู้หญิงสวย เซ็กซี่ น่ารัก อ่อนหวาน ตรงสเป็กชายหนุ่มในทุกด้านแค่ไหนนั้น แต่หากคุณยังคงดูเหยาะแหยะอ่อนบางในเรื่องความมั่นใจ ผู้ชายหลายคนก็อาจจะต้องกลับไปคิดที่จะจีบคุณมาเป็นแฟนจริงไหม และแม้แต่เพื่อนๆ คนรอบตัวก็ไม่อยากแม้แต่จะเข้าใกล้คุณนักด้วย ดังนั้น อย่าปล่อยให้ตัวเองทนอยู่บนความไม่แน่นอนของใจตัวเองอีกต่อไปเลย วันนี้เรามีเคล็ดลับเสริมเสน่ห์ให้ขีดความมั่นใจคุณกลับมามากขึ้น ทำอย่างไรนั้น... ไปดูกันค่ะ

หมั่นบอกตัวเองว่าคุณสวยมีเสน่ห์เสมอ
ผู้หญิงหลายคนที่ขาดความมั่นใจส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองไม่สวยไม่น่ารักอยู่เสมอ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว คุณมีดีอยู่ในตัวมากมาย มีเสน่ห์ทั้งรูปร่าง หน้าตา บุคลิก การแต่งตัวหลายอย่าง แต่คุณกลับยังไม่เห็นข้อดีตรงจุดนั้น จากนี้ให้หมั่นมองตัวเองในกระจกบ่อยๆ หากคนในกระจกดูดี ไม่ได้มีจุดบกพร่องในด้านใด ก็จงเตือนตัวเองอย่างมีสติว่าคุณเพอร์เฟคต์ที่สุดแล้ว บอกตัวเองว่าคุณสวยมีเสน่ห์แล้ว หมั่นเรียกคืนความมั่นใจกลับมาให้ตัวเองบ่อยๆ ซะ ความมั่นใจของคุณจะได้มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

คิดอย่างเฉียบขาด ใช้สติเป็นเครื่องมือความฉลาดให้มากขึ้น
ในยุคสมัยที่โลกเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น จะให้คุณเป็นสาวเขินอาย สวยใสแต่ไร้สติแบบผ้าพับไว้เหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้แล้ว จากนี้คุณต้องก้าวให้ทันตามกระแสโลกยุคใหม่ ทั้งข่าวสาร ความรู้ ความแปลกใหม่ต่างๆ หมั่นศึกษา เก็บเกี่ยวความรู้ใหม่ๆ เข้าไว้ แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่เก่ง มีสติปัญญา รู้เท่าทันทุกเหตุการณ์แม้กระทั่งสามารถอ่านใจคนได้ และความรู้ ความสามารถที่คุณเติมให้ตัวเองนี้ จะทำให้คุณใช้สติปัญญาแก้ไข คิดหาคำตอบให้ทุกเรื่องของชีวิตได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ทำให้คุณเป็นสาวสวยที่เฉียบขาด ฉลาดในสายตาคนรอบตัวมากขึ้น แล้วแบบนี้... จะไม่เรียกคืนความมั่นใจให้คุณอย่างเต็มเปี่ยมได้หรือ

เมื่อคุณกลายเป็นสาวสวย มีสมอง เก่งและฉลาด มีความสามารถหลากหลายด้านแบบนี้ หนุ่มๆ ที่ไหนก็ต้องมองคุณอย่างหลงใหล และ แน่นอนว่ามันทำให้คุณได้รับพลังบางอย่างโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นจะทำให้คุณกลายเป็นสาวทันสมัยที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างฉุดไม่อยู่เชียวล่ะ อย่าง ไรก็ตาม... อย่าลืมนำเอาเทคนิคง่ายๆ เหล่านี้ไปใช้กันนะคะ แล้วสาวสวยยุคใหม่ทันสมัยอย่างคุณจะสะกดใจชายหนุ่มให้หลงรักอย่างถอนตัวไม่ ขึ้นทีเดียว

โดย :จิ้มจุ่ม ( สมาชิกไอดีที่ 124883)
แหล่งที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/53762.html

Saturday, July 27, 2013

10 เคล็ดลับ คืนความกระปรี้กระเปร่าให้ชีวิต




        อย่าปล่อยให้ความเซ็งเบื่อหน่ายเข้าครอบงำ จงดึงพลังงานในตัวของคุณออกมาใช้ให้เต็มที่ด้วยกลเม็ดเคล็ดลับจากผู้เชี่ยว ชาญของ Health Plus


 1.เสริมสร้างภูมิต้านทาน

          "ถนอมเรี่ยวแรงช่วงหน้าหนาวให้ฟิตเกินร้อยด้วยการกินวิตามินซีมาก ๆ รวมถึงน้ำมันตับปลาและน้ำมันลินซีดทุกวัน จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง สามารถต่อกรกับโรคภัยที่มากับหน้าหนาว กินอาหารเสริม ออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ เดิน หรือปั่นจักรยานทุกวัน จะช่วยเพิ่มพลัง" แจน เดอ รีส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัดของ Health Plus บอก

 

 2.กินอาหารเพิ่มพลังชี่

          "กินอาหารที่เหมาะสม และดูแลพลังงานสำคัญหรือพลังชี่ ให้แข็งแรง การมีพลังชี่แข็งแรงทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและมีพลัง ที่สำคัญคือต้องมีกรดในร่างกายไม่มากจนเกินไป โดยทั่วไปอาหารที่มีความเข้มข้นของน้ำตาลสูงจะมีความเป็นกรด จึงควรงดอาหารประเภทดังกล่าว และกินอาหารที่มีความเป็นด่างแทน เช่น ผักสีเขียวเพื่อสร้างสมดุลให้ร่างกาย กายและใจแข็งแรง และถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า ควรงดหรือกินข้าวสาลีและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีความเป็นกรดให้น้อยลง" บาร์ติ วาส ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรเวทของ Health Plus ให้เคล็ดลับ

 

 3.สดชื่นทุกฤดูกาล

          "คนแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าจะมีความสวยตามธรรมชาติ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เป็นความสดชื่นเปล่งปลั่งที่เกิดจากภายใน หากต้องการให้ร่างกายฟิตแข็งแรงเต็มร้อยตลอดปี ก็ควรกินอาหาร ออร์แกนิกส์ที่ปลูกตามฤดูกาล และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่มีส่วนผสมของสารก่อพิษที่เป็นอันตราย ต่อร่างกายมากเกินไป" ซูซาน เคอร์ติส นักสุคนธบำบัดและผู้อำนวยการ Neal’s Yard Remedies ให้ข้อมูล

 

 4.หายใจอย่างถูกวิธี

          "เมื่อนึกถึงความกระปรี้กระเปร่า ผมจะนึกถึงชีวิตชีวาของพลังแห่งชีวิต ซึ่งก็คือการหายใจแบบโยคะ คำว่า ลมหายใจมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า พลังปราณ การฝึกหายใจอย่างถูกต้องเป็นวิธีนำพลังงานเข้าสู่ร่างกายที่ได้ผล ช่วยให้จิตใจและสมองปลอดโปร่งแจ่มใส หากสามารถหายใจได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยพลัง ควรหันมาเล่นโยคะ หรือฝึกนั่งสมาธิและหายใจลึก ๆ จนถึงท้อง จากนั้นเลื่อนขึ้นมาที่หน้าอก นี่คือการหายใจอย่างถูกต้อง" ฮาวเวิร์ด แนปเปอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะ GMTV บอก

 

 5.เติมความสดชื่นด้วยน้ำมันหอมระเหย

          "น้ำมันหอมระเหยที่สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากที่สุด น่าจะเป็นกลิ่นเปปเปอร์มินต์ หยดน้ำมันเปปเปอร์มินต์ 2 หยดลงในเจลอาบน้ำและแชมพูจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ารับเช้าวันใหม่ น้ำมันกลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยลดความวิตกกังวลและเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 3 หยดลงในน้ำมันตัวพา (carrier oil) ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวอย่างเจลอาบน้ำ เคล็นซิ่ง และแชมพูที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวติดเชื้อ แถมยังทำให้ผิวแข็งแรงสดชื่น" โรเบิร์ต ทิสเซอร์รานด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุคนธบำบัดของ Health Plus เผย


6.ใกล้ชิดธรรมชาติ

          "ธรรมชาติช่วยให้ใจเย็นและมองโลกในแง่ดี ซึ่งจะส่งผลไปถึงสุขภาพกายและใจ ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย การเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้าซึ่งปกคลุมด้วยน้ำค้างหรือหยดฝนในตอนเช้าช่วยให้ รู้สึกสดชื่น แม้คุณจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองก็ตาม วิธีนี้ช่วยให้คุณได้ใกล้ชิดกับธรรมชิต แค่ใช้เวลา 2-3 นาทียืนหลับตาสัมผัสความรู้สึกขณะยืนอยู่บนยอดหญ้า ตั้งสมาธิพร้อมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วคุณจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อหลังผ่านไป 2-3 นาที เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ได้ผล" ดอว์น เบรสลิน ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาบุคลิกภาพของ Health Plus แนะ

 

 7.กินอาหารที่ให้พลังงานตลอดวัน

          "สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นความรู้สึกกระฉับกระเฉงและปลอดโปร่งสดชื่น ดังนั้น ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร กินผักผลไม้มาก ๆ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ควรกินอาหารที่มีไกลเซมิกต่ำ หรืออาหารที่มีน้ำตาลน้อย และปล่อยพลังงานออกมาช้า ๆ เช่น ข้าวกล้องขนมปังข้าวไรย์ องุ่น และแอปเปิ้ล อาหารเหล่านี้ให้พลังงานตลอดวัน" แมตต์ โรเบิร์ต ผู้ฝึกสอนฟิตเนส เผย


 8.กินอาหารล้างพิษ

          "สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำเพื่อเสริมสร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า คือ การเลือกกินอาหารที่เหมาะสม ลงทุนซื้อเครื่องคั้นน้ำผลไม้ และหนังสือสูตรทำสมูทตี้และน้ำผลไม้สักเล่ม วิธีนี้จะช่วยให้ผักผลไม้ เข้าสู่อวัยวะภายในร่างกายได้ง่าย เวลาปรุงอาหาร ให้ใช้น้ำมันมะกอกแทนเนย ใช้โยเกิร์ตแทนครีมข้น เพราะอาหารเหล่านี้มีไขมันต่ำกว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า กินแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า" แอนโธนี่ วอร์แรล ธอมป์สัน เซฟคนดังและนักรณรงค์การบริโภคอาหารออร์แกนิกส์ กล่าว

 

 9.ทำแต่ละวันให้ดีที่สุด

          "ถ้าต้องการให้ชีวิตกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่า ในแต่ละวันคุณต้องมองไปข้างหน้า เริ่มจากคุณต้องวางแผนชีวิตในแต่ละวัน การทำเช่นนี้จะช่วยให้รู้ว่าอะไรบ้างที่จำเป็นต้องทำชีวิตในแต่ละวันไม่จบลงด้วยความอ่อนล้าและว่างเปล่า เก็บงานยากไว้ทำทีหลัง และอย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จ" แพม ริซาร์ดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการโค้ชเสริมสร้างพลังชีวิตของ Health Plus เผยเคล็ดลับ

 

 10.มองโลกในแง่ดี

          คิดบวก อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสีสันสดใส อ่านหนังสือและบทความที่ช่วยยกระดับจิตใจแทนการอ่านเรื่องหดหู่หรือรุนแรง ออกนอกบ้านไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงแทนที่จะนั่งจับเจ่าอยู่กับบ้าน การใช้ชีวิตง่าย ๆ แบบนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายทำให้อารมณ์แจ่มใส


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ที่มา http://health.kapook.com/view37484.html,  http://blog.eduzones.com/poonpreecha/88745

Sunday, July 21, 2013

7 สัญญาณเตือนว่าเขาไม่สนใจคุณแล้ว




          ว่ากันว่าความรักของผู้ชายเริ่มจากร้อยแล้วค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ผู้หญิงเริ่มจากศูนย์แล้วเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จนปรับตัวเท่ากันในที่สุด อย่างไรก็ตาม บางครั้งผู้ชายก็อาจจะหมดรักเรา ในวันที่เรารักเขาไปแล้วก็ได้ แถมเราก็ดันตั้งตัวไม่ทันอีก จนต้องเป็นฝ่ายเสียใจในที่สุด
 
          ดังนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำเคล็ดลับดี ๆ ในการมองให้ออกเมื่อเขาหมดใจมาฝาก เพื่อให้เราทุกคนได้เห็นสัญญาณเตือนก่อนจะตัดสินใจ ว่าจะไปจากเขาเพื่อมองหาความรักครั้งใหม่ที่ดีกว่าให้ตัวเอง หรือจะพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ต่อไป ลองไปอ่านกันดูเลยค่ะ
 
 1. ไม่ได้โทรหาบ่อย ๆ เหมือนเดิม

          ถ้าเขาเคยเป็นคนที่โทรหาคุณบ่อย ๆ ในช่วงแรกที่จีบกันใหม่ ๆ ชนิดที่ว่าวันไหนไม่ได้คุยกันนอนไม่หลับ หรือไม่ยอมวางสายจนกว่าคุณจะเข้านอน แต่ช่วงหลัง ๆ กลับเปลี่ยนไปคนละเรื่อง นาน ๆ ถึงจะเป็นฝ่ายโทรหาสักครั้ง และคุยกันแค่ 15 นาทีก็วาง แถมยังอ้างว่างานยุ่งตลอด ทั้ง ๆ ที่ดูไม่เหมือนจะเป็นอย่างนั้นเลย นั่นแหละเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาเบื่อที่จะคุยกับคุณแล้ว และก็อาจจะกำลังใช้เวลาที่เคยคุยกับคุณ ไปคุยกับสาวอื่นแทนแล้วก็ได้

 2. อ้างโน่นอ้างนี่ไม่ยอมไปไหน

          ถ้าหากนาน ๆ ครั้ง หรือเฉพาะช่วงที่งานยุ่งจริง ๆ ประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ช่างเถอะ แต่ถ้าเขาเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนกับคุณเป็นประจำทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ติดธุระอะไรล่ะก็ รู้ได้เลยว่าเขาเริ่มเบื่อคุณแล้วล่ะ เพราะเขาไม่ได้แสดงออกว่าอยากจะใช้เวลากับคุณแม้แต่น้อย ทั้งที่คนรักกันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ ดังนั้น ลองคิดทบทวนดูให้ดีว่าคุณเผลอทำอะไรให้เขาไม่พอใจบ้างรึเปล่า ไม่แน่ว่าคุณอาจทำให้เขาเสียความรู้สึกไปโดยไม่รู้ตัวแล้วก็ได้

 3. ไม่ปฏิบัติเหมือนอย่างที่เคยทำ

          ถ้าแฟนของคุณเคยเป็นผู้ชายแบบที่คอยกุมมือคุณเบา ๆ เวลาที่เดินด้วยกัน หรือมีของขวัญน่ารัก ๆ มาให้ทุกวันสำคัญ แต่จู่ ๆ กลับไม่สนใจคุณซะเฉย ๆ ไม่มีแม้กระทั่งโทรมาถามว่ากลับถึงบ้านเรียบร้อยหรือยัง นั่นแปลว่าเขาได้หมดความสนใจในตัวคุณแล้ว เพราะผู้ชายจะรู้สึกอยากเอาอกเอาใจและทำดีให้กับผู้หญิง ก็ต่อเมื่อเขารักและใส่ใจผู้หญิงคนนั้นเท่านั้นแหละ

 4. ห่างหายจากเรื่องเซ็กส์

          รู้ ๆ กันอยู่ว่าผู้ชายน่ะสนใจเรื่องพวกนี้ มากกว่าผู้หญิงอย่างเราเป็นเท่าตัว ฉะนั้น ถ้าคุณกับแฟนเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลก ถ้าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเรียกร้องขอให้คุณใช้เวลาด้วยกันอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งตีความว่าเขากำลังมีผู้หญิงอื่นเสมอไป เขาอาจกำลังเครียดหรือมีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ก็ได้ ทางที่ดีควรใช้เวลาสังเกตเขาดูให้ดี ว่าตกลงเขามีคนใหม่แน่หรือไม่

 5. ไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลง

          ผู้ชายไม่ค่อยสังเกตหรอกเวลาที่เราดูเปลี่ยนแปลงไปเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ซอยผมนิดหน่อย ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ หรือเปลี่ยนมาใส่กระโปรงพลีตแทนทรงดินสอ แต่ถ้าไม่สังเกตขนาดดูไม่ออกเวลาที่เราดัดผม หรือตัดจากผมยาวเป็นทรงสั้นกุดก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ เพราะมันเป็นไปได้สูงว่าเขาอาจคบกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ด้วยอีกหลายคน จนจำไม่ได้ว่าคนไหนทำผมแต่งตัวยังไงเลยก็ได้

 6. มีท่าทางปิดบังอยู่ตลอดเวลา

          ถ้าเขาหลีกเลี่ยงที่จะตอบหรือพูดตะกุกตะกัก แม้กระทั่งกับคำถามง่าย ๆ เช่น เมื่อคืนนอนกี่โมง วันนี้ไปไหนมาบ้าง หรือเคยไปทานข้าวที่ร้านอาหารนี้หรือยัง ระวังไว้เถอะ เขาอาจกำลังพยายามปิดบังอะไรจากคุณอยู่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเขาจะคิดนอกใจคุณเสมอไป อาจเป็นไปได้ว่าเขาเพียงแค่ไม่รู้สึกสนใจคุณมากอย่างที่เคย เลยรู้สึกเบื่อที่จะคุยหรือตอบคำถามของคุณ

 7. หาเรื่องทะเลาะอยู่บ่อย ๆ

          บางครั้งแม้เขาจะเบื่อคุณแล้ว แต่ผู้ชายบางคนอาจอ่อนไหวจนไม่กล้าเป็นฝ่ายบอกเลิกเองก็ได้ เขาจึงได้หาเรื่องมาติหรือชวนทะเลาะกับคุณตลอดเวลา เพื่อรอให้คุณเป็นฝ่ายที่เบื่อและทิ้งเขาไปเอง หรือบางทีเขาอาจไม่ได้ถึงขั้นคิดจะเลิกกับคุณ เพียงแต่หมดความสนใจแล้ว และมองว่าคุณเป็นเพียงแค่ของตาย จึงได้ไม่รู้สึกเกรงใจความรู้สึกของคุณอีกต่อไปก็ได้

          ดังนั้น ถ้าหากแฟนของคุณเป็นหนึ่งในข้อที่เรารวบรวมมาให้ดูกันวันนี้ คุณคงต้องพยายามมากขึ้น เพื่อให้เขากลับมาสนใจคุณอีกครั้ง หรือตัดสินใจแยกทางเพื่อไปหาใครสักคนที่เอาใจใส่คุณมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ควรตัดสินใจจากความรู้สึกของตัวเอง เพื่อให้คุณเสียใจน้อยที่สุด

แหล่งที่มา : kapook.com





 

Tuesday, July 16, 2013

5 วิธีขจัดความง่วงหลังอาหารกลางวัน




 หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงกันจนอิ่มแล้ว หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน ง่วงแค่ไหนแต่งานตรงหน้ายังมีให้ทำอยู่อีกเยอะLifestyleAsia ขอแนะนำ 5 วิธีช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นในช่วงบ่าย
 
ออกกำลังกายง่ายๆ
การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยให้คลายความง่วงได้อย่างเดียว แต่ยังช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อเมื่อนั่งอยู่กับที่นานๆ เช่น การยกแขนให้สูงบนศีรษะและเอียงไปด้านซ้ายและขวาจนสุด การยกขาแต่ละข้างสลับกัน หรือการหมุนคอไปมาซ้ายขวา บนล่างสลับกัน ช่วยคลายความเมื่อยล้าบริเวณบ่าและไหล่ได้

ทานดาร์กช็อคโกเลต
ตามใจปากด้วยการทานช็อคโกเลตของโปรด แต่เปลี่ยนจากช็อคโกเลตนมเป็นดาร์กแทน เพราะจะช่วยเพิ่มสร้างเอ็นโดพรินในร่างกายทำให้สดชื่นขึ้นและยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายอีกด้วย


มีน้ำมันหอมเปปเปอร์มิ้นท์ติดโต๊ะ
เปปเปอร์มิ้นท์ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายเมื่อเราสูดดมเข้าไป หยดน้ำมันหอมระเหย 2-3 หยดบนมือแล้วถูบนมือให้ทั่ว ก่อนทาบริเวณคอและหน้า

ออกไปเดินเล่นข้างนอก
การออกไปเดินรับแสงอาทิตย์จะช่วยรีเซตนาฬิกาในร่างกายของเราใหม่ และช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการนอนหลับให้ ต่ำลง แต่ถ้ารู้สึกว่าข้างนอกร้อนเกินไป การยืนใกล้หน้าต่างที่มีแสงแดดส่องเข้ามาก็ช่วยเหมือนกัน


ดื่มชาสักถ้วย
แฟรปปูชิโนที่ใส่วิปครีมไม่ได้ช่วยให้หายง่วงนอน เลือกชากลิ่นต่างๆ ที่คุณชอบ เช่น ชาเขียว นอกจากจะช่วยให้ตื่นแล้ว ยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน


แหล่งที่มา   http://yoddiary.wordpress.com, MSN
เครดิตภาพ  https://in.pinterest.com/pin/528891549968208340/

Sunday, July 14, 2013

นอนอย่างไร ให้เป็นสุข




หากจะพูดว่าการนอนหลับมีส่วนสำคัญที่จะกำหนดคุณภาพชีวิตของเรา หรือนัยว่าเรานอนอย่างไร เหมือนกับที่พูดว่าเรากินอะไรเราก็เป็นอย่างนั้น ( you are what you eat ) ก็คงไม่ผิดนัก

ถ้าเรานอนหลับสนิทและนานพอเหมาะ เราจะตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจะหมดไป ขณะเดียวกันร่างกายและจิตใจก็สามารถสังเคราะห์หล่อหลอมอาหารและประสบการณ์ ที่รับเข้าไปในวันวานได้เต็มที่ ก่อเกิดเป็นคุณภาพของชีวิต ในวัน ใหม่ที่เปี่ยมด้วยพลังสร้างสรรค์ แต่ถ้าเรานอนหลับ ๆ ตื่น ๆ นอนน้อย เราจะตื่นขึ้นมาด้วยความง่วงเหงาหาวนอนยังงัวเงีย มึนงง คล้าย ๆ กับว่ายังไม่พร้อมที่จะเริ่มชีวิตในวันใหม่

แต่ถ้าสุดโด่งไปอีกข้างหนึ่งคือนอนมากเกินไป ก็จะเกิดความเกียจคร้านไม่อยากทำอะไร เหมือนเวลากินอาหารมากเกินแล้วร่างกายไม่อยากขยับหรือโยกย้ายไปไหน เรียกว่าเกิดภาวะสะสมมากเกินไป

ดังนั้น ถ้าต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีก็ต้องดูแลเสาหลักแห่งการนอนหลับให้ดีด้วย ดีทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ปริมาณคือนอนจำนวนชั่วโมงที่พอเพียง ส่วนคุณภาพคือนอนหลับให้สนิท ถ้าได้นอนหลับลึกถึงขนาดที่เรียกว่า โยคะนิทรา ” ( yoka nidra) คือนอนหลับอย่างมีสมาธิ ( meditive sleep) ด้วยละก็ถือว่าเป็นสุดยอดของการนอนหลับเลยทีเดียว

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับที่น่าจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น
 
นอนหัวค่ำตื่นแต่เช้า
ควร เข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้า ดีกว่านอนดึกตื่นสาย ถ้าเป็นไปได้ควรเข้านอนอย่าให้เกิน
 4 ทุ่ม เพราะช่วงเวลาระหว่าง 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มนั้นตามหลักอายุรเวทถือว่าเป็นช่วงเวลาของธาตุดิน ธาตุน้ำ บรรยากาศโดยทั่วไปจะมีความหนักหน่วงโน้มนำให้นอนหลับได้ง่าย เหมือนกับธรรมชาติส่งสัญญาณให้รู้ว่าชีวิตในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ถึงเวลาของการพักผ่อนเสียที ( ยกเว้นสัตว์บางประเภทที่มีวงจรชีวิตตื่นและหากินตอนกลางคืน )

แต่ถ้าเลย
4 ทุ่มไปแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่ธาตุไฟเพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายตื่นตัวอีกครั้ง และอาจส่งผลให้นอนไม่หลับ ( ยกเว้นคนที่หลับง่ายและนอนดึกจนเคยชิน )
 
ส่วนที่ให้ตื่นแต่เช้านั้นก็ประมาณว่า ช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเป็นช่วงที่ธรรมชาติเปี่ยมด้วยพลังชีวิต

เผื่อเวลาอาหารมื้อเย็น
ควรเผื่อเวลาให้อาหารมื้อเย็นถูกย่อยให้เสร็จก่อนเข้านอนอย่างน้อย
 2 ชั่วโมง นั่นหมายถึงว่าควรกินอาหารมื้อเย็นให้เร็วสักหน่อย เพราะการนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ถ้ากินอาหารเสร็จแล้วเข้านอนโดยทันที จะทำให้อาหารไม่ถูกย่อย เพราะกระเพราะอาหารทำงานไม่เต็มที่ ขณะเดียวหันก็จะนอนหลับไม่สนิทด้วย

ล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก่อนนอน
ก่อนเข้านอนควรล้างมือ เท้า และหน้า และใช้น้ำมัน ( ถ้าได้น้ำมันงายิ่งดี ) นวดที่ฝ่าเท้า จะทำให้เกิดความผ่อนคลายและหลับสนิทขึ้น
 
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น คือดื่มนมต้มอุ่น ๆ สักแก้วก่อนนอน เนื่องจากมีคุณสมบัติชุ่มชื้น บำรุง อาการนอนไม่หลับนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากร่างกายตื่นตัว ความชุ่มชื้นของนมจะทำให้เกิดความหนืดหน่วงลดความตื่นตัวทำให้นอนหลับง่าย ขึ้น

ไม่ทำกิจกรรมตื่นเต้นก่อนนอน
ก่อนเข้านอน ไม่ควรทำกิจกรรมใด ๆ ที่จะกระตุ้นให้ตื่นตัว เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เร้าใจชวนติดตาม เพราะจะทำให้คุณไม่อยากนอนหลับหรือนอนไม่หลับ หรือไม่ก็ทำให้หลับไม่สนิท เพราะเก็บเอาเรื่องราวที่ดูหรืออ่านไม่เป็น

ถ้าจะฟังเพลงเพราะฟังดนตรีที่นุ่นนวลชวนให้อารมณ์และจิตใจผ่อนคลายช่วยให้หลับง่ายขึ้น ถ้าต้องการหลับให้สนิทและจิตใจได้พักผ่อนอย่างสมบูรณ์ ควรจะทำจิตใจให้สงบโดยการสวดมนต์และทำสมาธิ การทำสมาธิก่อนนอนจะทำให้หลับได้ลึกอย่างที่เรียกว่า โยคะนิทรา คือหลับแบบมีสมาธิได้

ท่านอนต้องเหมาะสม
ท่าและทิศในการนอนก็มีผลต่อการนอนหลับด้วยเหมือนกัน ท่านอนตะแคงขวาจะทำให้รูจมูกซ้ายโล่งเพราะน้ำหนักตัวไปลงที่ร่างกายซีกขวา รูจมูกซ้ายสัมพันธ์พลังเย็น เมื่อเปิดโล่งจะทำให้ร่างกายชุ่มเย็นและผ่อนคลาย การนอนตะแคงขวาจึงทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น

ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายจะทำให้ รูจมูกขวาซึ่งสัมพันธ์กับพลังร้อนเปิดโล่ง มีผลทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น จึงเหมาะที่จะเป็นท่านอนช่วงสั้น ๆ ก่อนหรือหลังอาหารมากกว่า ไม่เหมาะที่จะเป็นท่าในการนอนหลับเพราะมีผลทำให้ร่างกายร้อนขึ้น

ท่านอนหงายมีผลทำให้การไหลเวียนของพลังในร่างกายไม่ดี ทำให้ธาตุลมกำเริบ ส่วนท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ไม่เหมาะสมที่สุด เพราะร่างกายโดยเฉพาะบริเวณท้องและอกถูกกดทับทำให้หายใจไม่สะดวก

ไม่ควรนอนกลางวัน
โดยทั่วไปแล้วไม่ควรนอนกลางวันเพราะทำให้อาหารไม่ย่อยและเป็นไข้ได้ ยกเว้นในฤดูร้อนที่อนุโลมให้นอนหลับตอนกลางวันได้ เพราะอากาศร้อนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การนอนกลางวันจะช่วยฟื้นคืนพลังได้ หรือคนแก่ เด็กเล็ก คนที่ร่างกายอ่อนเพลีย หรือเหน็ดเหนื่อยจากการมีเพศสัมพันธ์ การใช้แรงมากๆ จากการเดินทางหรืออดนอน อนุโลมให้นอนตอนกลางวันได้เพื่อชดเชยพลังที่สูญเสียไป

ลองปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้แล้วคุณจะหลับได้อย่างเป็นสุขขึ้น
 
ขอให้นอนหลับฝันดีครับ

แหล่งข้อมูลที่มา  http://www.doctor.or.th/article/detail/3442