Tuesday, December 27, 2016

เหตุที่ใครคนหนึ่งต้องเลิกร้างกับคุณไป (เสียดายหากคุณไม่ได้อ่าน)





มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่าคู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมาเมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านแล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระจึงบอกว่า " ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า"

หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า "อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย
อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อยไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว" เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่า ตัดสินใจเองไม่ได้ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า "อยากเข้ามา ก็เข้ามา!"

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า "อาการหนักเลยนะ"

ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูดหลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า "โทรมมากเลยนะ" ชายคนนั้นไม่สนใจหลวงตาบอกว่า "ไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ" ชายคนนั้นไม่สนใจ

แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไปกลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด

เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาเขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมาเขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุม
ร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมาเขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสารจึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆ
กอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพ ของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจพอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า "ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมาเด็กรับใช้ตกใจมากหลวงตายิ้มแล้วบอกว่า "โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว"

ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชติดตามหลวงตาองค์นั้นในที่สุด

คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยังเพราะถึงเวลาที่ต้องจากกันไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้าก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

ทุกๆวจีกรรม กายกรรม และมโนกรรม ที่เรานึกคิดพูดล้วนเป็นกรรมหมด อยู่ที่เจตนาเป็นบุญหรือบาป
ล้วนส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตทั้งนั้น...ธรรมะสาธุ

ขอบคุณที่มา: วีรวฑฺฒโน ภิกฺขุ วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่
https://www.facebook.com/profile.php?id=100005003114296
โพสท์โดย: SpiderMeaw
http://board.postjung.com/1006637.html

Monday, December 5, 2016

เหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว




เฮ้ย แป๊บเดียวจะอีกแล้ว!
.
เคยรู้สึกมั้ยว่าตอนเด็กๆ ช่วงเวลาดีๆ อย่างปีใหม่กว่าจะมาถึงได้มันใช้เวลานานเหลือเกิน แต่พอเราแก่ตัวลง เริ่มเข้าสู่วัยกลางคน วันแต่ละวันมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วแป๊บๆ ก็ปีใหม่อีกแล้ว
.
มีหนังสือหลายเล่มพยายามหาเหตุผลในการอธิบายสาเหตุทางจิตวิทยาของความรู้สึกดังกล่าว ซึ่งก็มีอยู่หลายทฤษฎีทีเดียว
.
แต่ทฤษฎีที่อธิบายได้ดีที่สุดบอกว่า การได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ มันช่วยให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง แต่คนที่ผ่านประสบการณ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้คนๆ นั้นรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
.
นักจิตวิทยาให้เหตุผลว่า ความทรงจำของเราเป็นผลมาจากการรื้อสร้างทางสังคม (social re-construction) ไม่ใช่การบันทึกเหมือนกับไฟล์คอมพิวเตอร์ และไม่ใช่ความทรงจำทุกเรื่องที่ถูกบันทึกไว้เป็นเรื่องๆ อย่างชัดเจน และโดยส่วนใหญ่ความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่และเวลาก็ไม่ได้สัมพันธ์กัน
.
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขับรถไปยังสถานที่ที่สักแห่งเป็นครั้งแรก เหมือนอย่างนั่งรถไปที่ทำงานใหม่ครั้งแรก คุณจะรู้สึกว่ามันช่างเป็นระยะทางที่ยาวไกลเหลือเกิน แต่เมื่อเหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งเข้าก็จะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และคุณก็จะจำเรื่องราวเดิมๆ ที่ผ่านไปแต่ละวันไม่ค่อยได้
.
ยกเว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเหตุการณ์พิเศษที่ "น่าจดจำ" แทรกขึ้นมา อย่างเช่น รถติดอย่างมากในวันนั้น หรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นระหว่างทางขึ้นมา
.
และช่วงเวลาดีๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วได้เหมือนกันอย่างการเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุด 2 สัปดาห์อันแสนสนุกที่เกิดขึ้นทุกวันๆ เข้า พอคุณจะรู้ตัวอีกทีมันก็ถึงเวลาที่ต้องเก็บของกลับบ้านเสียแล้ว
.
ดังนั้น ถ้าใครอยากจะทำให้ "เวลาช้าลง" ก็คงต้องหาอะไรที่พิเศษๆ ให้กับเทศกาลพิเศษอย่างคริสต์มาส หรือปีใหม่ของตัวเองบ้าง หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตแต่ละวัน ถ้าเราลองหาประสบการณ์อะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เข้ามาบ้าง และใช้เวลาที่เรามีให้มีค่าที่สุดก็จะทำให้คนที่เริ่มมีประสบการณ์สูง (หรือเริ่มแก่นั่นแหละ) รู้สึกว่าเวลามันไม่ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก

โพสท์โดย: SpiderMeaw
http://board.postjung.com/1002654.html

Thursday, October 6, 2016

สิ่งที่ “คนมีความหลงใหล” มักทำแตกต่างจากคนทั่วไป




คุณเคยมี ความหลงใหล (Passion) กับอะไรบ้าง? ความหลงใหลไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่คุณทำอยู่หรอกนะ แต่มันคือตัวตนที่แท้จริงของคุณเอง เพราะมันทำให้คุณกระตือรือล้น รีบตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า และพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่กับมัน

ดร. โรเบิร์ต วัลเลอแรนด์ จากมหาวิทยาลัย Quebec เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความหลงใหล เขายืนยันว่า ความหลงใหลเป็นสิ่งนิยามตัวตนของคนๆ นั้นได้ ความหลงใหลคือการที่คนๆ หนึ่งรักในสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญ และอุทิศทั้งเวลา แรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับมัน

ความหลงใหลนำมาซึ่งอัจฉริยภาพ” – กาลิเลโอ (GALILEO)

ดร.วัลเลอแรนด์และทีมวิจัยอีกสองคนได้วิจัยผลการศึกษาจากนักดนตรีจำนวน 187 คน พบว่า คนที่มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อให้การแสดงของตนสมบูรณ์แบบ หรือที่เขาเรียกว่า ความชำนาญจะสามารถพัฒนาทักษะของตนได้มากกว่าคนที่มุ่งมั่นเพียงเพื่อจะเก่งกว่านักดนตรีคนอื่นๆ ดังนั้น หากคุณมีความหลงใหลในสิ่งใดแล้ว คุณจงมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น

แล้วสงสัยกันไหมว่าความหลงใหลที่ว่านี้มันมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่? วิธีที่ดีในการทำความเข้าใจมันก็คือ การเรียนรู้ว่าผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลนั้นมักทำอะไรที่แตกต่างจากคนทั่วไปบ้าง ถ้าอยากรู้แล้วล่ะก็ เราไปชมกันเลย!

1. พวกเขาหมกมุ่น
พวกเขาจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง ไม่ใช่ในแบบโรคย้ำคิดย้ำทำ(OCD) แต่เป็นความหมกมุ่นในเชิงบวก เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า จงทำในสิ่งที่คุณรัก  แล้วคุณจะไม่รู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องเหนื่อยกับการทำงานอีกเลย

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเขาจะวนเวียนคิดถึงสิ่งที่ตนเองหลงใหลอยู่เสมอ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกกดดันหรือหนักใจ แต่เป็นความตื่นเต้นต่างหาก เพราะการหมกมุ่นสามารถสร้างแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขามีความสุขได้

2. พวกเขาไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

คุณไม่มีทางได้พบคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลมาเดินเตร็ดเตร่เล่นโปเกมอนโกข้างถนนหรอก เพราะพวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะทำอะไรไร้สาระหรือฆ่าเวลาอย่างแน่นอน พวกเขาแทบจะทุ่มเทเวลาทุกนาทีไปกับสิ่งที่หลงใหล และมันก็คงไม่มีอะไรที่เขาจะอยากทำไปกว่านี้อีกแล้ว

3. พวกเขามองโลกในแง่ดี

ผู้คนเหล่านี้จะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ พวกเขาไล่ตามเป้าหมายใหม่ๆ ของตัวเองอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะต้องทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน คุณคงจะจำความรู้สึกเวลากำลังเฝ้ารอสิ่งที่สำคัญมากๆ ได้ใช่ไหม? นั่นแหละคือสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้กำลังรู้สึกอยู่ทุกๆ วัน

4. พวกเขาเป็นคนตื่นแต่เช้า

ผู้คนที่เต็มเปี่ยมด้วยความหลงใหลจะกระตือรือร้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับการนอนหลับ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่ชอบการนอนนะ แต่พวกเขาเพียงแค่อยากลุกไปทำสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่า เพราะมันเต็มไปด้วยความคิดและความตื่นเต้นที่กำลังรออยู่ตรงหน้ายังไงล่ะ

5. พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงในเรื่องสำคัญ

หากอยากรู้ว่าตัวเองต้องการบางสิ่งบางอย่างมากขนาดไหนนั้น ให้ดูจากการที่คุณเต็มใจจะเสี่ยงมากแค่ไหนนั่นเอง ไม่มีใครยอมทุ่มเทให้หมดหน้าตักเพื่อให้ได้สิ่งที่สนใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ หรอก สำหรับผู้คนที่เต็มไปด้วยความหลงใหล พวกเขาย่อมเต็มใจเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม

6. พวกเขามักทำอะไรให้มันสุดๆ

พวกเขาไม่ทำอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ ถ้าจะทำอะไรจะต้องไปให้สุดจนกว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็พุ่งชนให้ล้มกันไปข้างหนึ่ง และถ้าเป็นเวลาพักผ่อน พวกเขาก็จะอยู่เฉยๆ ผ่อนคลายให้สุดๆ เช่นกัน

7. พวกเขามักพูดคุยในเรื่องที่ตนเองหลงใหลอยู่ตลอดเวลา

ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถแยกตัวเองออกจากสิ่งที่หลงใหลได้ พวกเขามักจะคลุกคลีอยู่กับเรื่องความชอบของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และมักจะพูดในสิ่งที่หลงใหลอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าคนอื่นอาจจะไม่สนใจด้วยก็ตาม

8. พวกเขาตื่นเต้นง่าย

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกเฉยๆ หรืออยู่นิ่งๆ บ้างหรอกนะ เพียงแค่พวกเขาตื่นเต้นได้แม้กับเรื่องเล็กๆ ในสิ่งที่พวกเขาสนใจ เพราะงั้นก็เลยตื่นเต้นได้บ่อยและนานกว่าคนอื่นๆ มีทฤษฎีหนึ่งอธิบายว่าคนประเภทนี้มักทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับหนึ่งหรือสองสิ่งเพียงแค่เท่านั้น จึงมีแรงผลักดันให้พวกเขาก้าวหน้าและมีความตื่นเต้นพลุ่งพล่านในตัวมากกว่าคนอื่น

9. งานคือทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา

ผู้คนที่หลงใหลในงานของตน ไม่เคยกังวลเรื่องสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เพราะงานก็คือตัวตนของพวกเขา และไม่อาจแยกออกจากกันได้ หายใจเข้าออกก็เป็นงานที่พวกเขารัก ดังนั้นจึงไม่มีการทิ้งงานค้างเอาไว้เด็ดขาด เพราะการทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าปฏิเสธตัวตนของตัวเองเลยทีเดียว แล้วการใช้ชีวิตแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่โอเคสำหรับพวกเขาด้วยนะ เพราะไม่มีอะไรที่อยากทำนอกจากงานเหล่านี้ที่พวกเขารักแล้วจริงๆ


ตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้ผู้คนที่มีความหลงใหลนั้นแตกต่างจากคนอื่น แล้วคุณล่ะ!? คิดว่าในชีวิตตัวเองมีความหลงใหลกับสิ่งที่ทำมากพอแล้วหรือยัง?


Source : talentsmart
โพสท์โดย: SpiderMeaw
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/weheartevents/we-flowers/

Friday, August 26, 2016

7 ประโยชน์ของวิตามินบีรวม (Vitamin B)...คนทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ห้ามพลาด!!




จะว่าไปแล้ววิตามินมีอยู่มากมายหลายชนิด แล้ววิตามินบีรวมล่ะ เป็นวิตามินที่คุณรู้จักดีแล้วหรือยัง? หากยัง...รับรองว่าประโยชน์ของวิตามินบีรวมที่กำลังจะนำเสนอ จะต้องทำให้คุณอยากซื้อวิตามินบีรวมมาทานทันทีเลยล่ะ...เอาล่ะ มาดูกันสิว่าประโยชน์ของวิตามินบีรวม จะมีอะไรบ้าง?


7 ประโยชน์ของวิตามินบีรวม


1.วิตามินบีรวมช่วยเรื่องระบบประสาท โดยวิตามินบีรวมจะเป็นตัวนำ และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างสารสื่อประสาท หากร่างกายขาดวิตามินบีรวม หรือได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้ระบบประสาททำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

2.วิตามินบีรวมทำให้รู้สึกสดชื่น สำหรับคนที่ต้องทำงานหนัก เรียนหนัก พักผ่อน นอนหลับไม่เพียงพอ ควรทานวิตามินบีรวมเป็นประจำ เพราะร่างกายมีการสูญเสียพลังงาน วิตามินบีรวมจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มความสดชื่น เพิ่มพลังในการทำงานมากยิ่งขึ้น

3. วิตามินบีรวมช่วยลดอาการซึมเศร้า เพราะวิตามินบีรวมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบประสาท ผลของการที่ระบบประสาทถูกกระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอด ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า

4. วิตามินบีรวมช่วยกระตุ้นฮอร์โมนให้ทำงานได้เป็นอย่างดี อย่างที่เรารู้กันดีว่าในร่างกายของเรานั้นมีฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดในการเจริญ เติบโต เพราะฉะนั้นถ้าเราได้รับปริมาณวิตามินบีรวมที่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายของเราสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี แถมยังทำให้อารมณ์ดีด้วยนะ

5.วิตามินบีรวมช่วยระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน วิตามินบีรวมช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมที่เสียไปกับประจำเดือน ดังนั้นการทานวิตามินบีรวมจะช่วยให้สาวๆ ไม่หงุดหงิด ช่วงวันนั้นของเดือน

6. วิตามินบีรวมช่วยป้องกันมะเร็งได้ เจ้าวิตามินบีรวมเป็นตัวช่วยต่อสู้กับสารอนุมูลอิสระที่เป็นสารก่อมะเร็ง หรือสารที่เราเรียกว่าออกซิแดนซ์ได้อย่างเต็มที่ เป็นผลให้คนที่ทานวิตามินบีรวมเป็นประจำ และเพียงพอมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ น้อยกว่าผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินบีรวม

7. วิตามินบีช่วยบำรุงเด็กทารกในครรภ์ โดยหญิงที่ตั้งครรภ์ควรได้รับปริมาณวิตามินบีรวมที่เหมาะสม และมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะวิตามินบีรวมมีส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ เป็นอย่างมาก รวมถึงยังมีความสำคัญหลังจากที่เด็กทารกได้คลอดออกมา เรียกว่าต้องทานดับเบิ้ลเพื่อตัวคุณแม่เอง และลูกน้อยในครรภ์ด้วย



แหล่งอาหารของวิตามินบีรวม 


คุณสามารหาวิตามินบีรวมได้จากอาหารทีี่มีวิตามินบีรวมสูงเหล่านี้ คือ เนื้อสัตว์ ไข่แดง ปลา ตับ สมองและหัวใจวัว กากน้ำตาล ถั่วลิสง ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี กะหล่ำปลี แคนตาลูป และในพืชผักผลไม้ทุกชนิด



ทานวิตามินบีรวมตอนไหนดีที่สุด 

 
เมื่อไหร่ที่ร่างกายของเราเกิดความเมื่อยล้า ไม่ได้รับการพักผ่อนเอาซะเลย ช่วงนี้เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการวิตามินบีรวมมากที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรทานวิตามินบีรวมเฉพาะช่วงที่เราเหนื่อยล้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ควรทานวิตามินบีรวมเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเช้าหรือในช่วงที่ร่างกายของเราอยู่ในโหมดที่สามารถนำสารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มที่นั่นแหละ เป็นช่วงที่วิตามินบีรวมจะทำงานได้ดีที่สุด


ใครควรทานวิตามินบีรวมเพิ่ม


ไม่ว่าจะเป็นใครก็ควรทานวิตามินบีรวมให้อยู่ในระดับที่พอดีต่อความต้องการของร่างกาย แต่คนที่ควรทานวิตามินบีรวมให้มากกว่าคนอื่นนั่นก็คือ พนักงานออฟฟิศทั้งหลายที่จะต้องหักโหมทำงานหนัก ส่วนคนที่นอนดึกตื่นเช้า พักผ่อนไม่เป็นเวลา รวมถึงคนที่กำลังตั้งครรภ์ บุคคลเหล่านี้ต้องการวิตามินบีรวมมากกว่าคนปกติทั่วๆ ไป


โอ้โห! รู้ถึงประโยชน์ของวิตามินบีรวมขนาดนี้แล้ว เห็นทีจะรอไม่ได้แล้ว ต้องหาวิตามินบีรวมมาทานเป็นประจำโดยด่วน...แล้วอย่าลืมดูแลคนข้างๆ หรือคนที่คุณรัก ด้วยการให้เค้าทานวิตามินบีรวมให้เพียงพอต่อร่างกายด้วยนะค่ะ


http://sukkaphap-d.com/7-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%82%e0%b8%a2%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b5%e0%b8%a3%e0%b8%a7/
เครดิตภาพ   https://in.pinterest.com/pin/153474299774250550/

Monday, August 22, 2016

10 วิธีโสดอย่างสตรอง




โลก ไปไกลถึงไหนกันแล้ว คนโสด อย่ามัวพิรี้พิไร มองตัวเองไร้ค่าว่าไม่มีใครรัก ใครชอบ เพราะหากมี ความคิดในแง่ลบ กับตัวเองเมื่อไหร่ละก็ อาจเป็นสัญญาณบอกว่าเป็นอาการตั้งต้นที่อาจจะนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า ได้ เพราะเคยมีการศึกษาพบ คนโสดมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าคนที่มีครอบครัว

แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้เป็นความเสี่ยงที่มากกว่ากันแบบก้าวกระโดดจนน่ากลัวอะไรขนาดนั้น เพราะจริง ๆ แล้วการ เป็นโสดกับการมีครอบครัวก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ยกตัวอย่างคนมีครอบครัวจะมีความ เครียดสูงในเรื่องของการดูแลชีวิตคู่ ดูแลลูก และการหารายได้มาประคองชีวิตครอบครัว ในขณะที่คนโสดไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ส่วนความเหงา ความอ้างว้างนั้นสามารถจัดการได้ด้วย 10 ข้อ ดังนี้

1. โปรแกรมตัวเองใหม่ หมดเวลาตั้ง คำถามว่า ทำไมฉันถึงโสดหรือโปรดส่งใครมารักฉันทีถึงเวลายอมรับความจริงและใช้โอกาสนี้ถามตัวเองว่าฉันทำประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ตอนนี้ยังไงเริ่มต้นในการทำประโยชน์ให้กับตัวเอง ครอบครัวตั้งต้น และหน่วยงานของตัวเอง

2. เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้เรียนรู้และเริ่มต้นรักตัวเอง เพราะการที่เรารักตัวเองเป็น จะเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักความรัก

3. รู้จักตัวเองให้มากขึ้น เมื่อเราใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่นมากเท่าไหร่ ตัวตนของเราก็มีโอกาสถูกดูดกลืนทำให้เราลืมความเป็นตัวเองไป เมื่อโสดเป็นเวลาที่ดีที่จะกลับมารู้จักตัวเอง

4. ตั้งเป้าหมายในชีวิตแล้วไปให้ถึง เมื่อรู้จักตัวเองแล้วเริ่มตั้งเป้าหมายในสิ่งที่คุณอยากทำ หรืออยากเป็น วางแผนแล้วออกเดินทางตามแผน

5.นัดทำกิจกรรมกับตัวเองบ้าง ช่วงเงียบสงบของชีวิต เป็นโอกาสที่เราจะเติมเต็มให้ตัวเอง

6. ทำกิจกรรมสนุก ๆ กับคนอื่น ๆ เช่น นัดเพื่อนสมัยเรียนไปเที่ยวกัน

7. สานสัมพันธ์ครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นศูนย์รวมพลังชีวิต กลับไปเติมพลังชีวิต

8. รักษาสุขภาพและความงาม การที่เราดูมีชีวิตชีวา ชวนน่าคบหาสมาคมนั้นเป็นเสน่ห์ที่ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาคุยด้วย

     9. ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อเราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ความสุขย่อมเกิดขึ้นเพราะเราจะรู้สึกมีคุณค่า

10. การใส่ใจในการดำเนินชีวิตของตัวเองทุกวัน จะช่วยให้เราจัดการทิศทางของชีวิต และจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองอย่างไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองมากมาย ดังนั้นอย่าเอาเรื่องเงินมาเป็นข้อจำกัดของตัวเอง เพราะการอยู่แบบโสด ๆ และมีความสุขนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินก็ได้

บาง คนกลัวว่าอนาคตจะต้องตาย อย่างเดียวดาย นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งความคิดในแง่ลบ เพราะมนุษย์ย่อมมีเครือข่ายสังคม ต่อให้ไม่มีสามี หรือภรรยาคอยดูแล แต่ก็ยังมีครอบครัวตั้งต้น มีญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท หรือหากไม่มีจริง ๆ ก็สามารถบริจาคร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์ได้ ไม่มีใครที่ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างมันจะมีทางออกของมัน การมีครอบครัว หรือไม่มีนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณค่าของคน ทบทวนตัวเอง รักตัวเองให้มาก

http://www.thaihealth.or.th/blog/myblog/topic/787/patcharee%20bonkham/1245/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/6195/10%20%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87/
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/white-roses/