Tuesday, December 27, 2016

เหตุที่ใครคนหนึ่งต้องเลิกร้างกับคุณไป (เสียดายหากคุณไม่ได้อ่าน)





มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่าคู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมาเมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านแล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระจึงบอกว่า " ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า"

หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า "อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย
อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อยไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว" เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่า ตัดสินใจเองไม่ได้ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า "อยากเข้ามา ก็เข้ามา!"

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า "อาการหนักเลยนะ"

ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูดหลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า "โทรมมากเลยนะ" ชายคนนั้นไม่สนใจหลวงตาบอกว่า "ไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ" ชายคนนั้นไม่สนใจ

แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไปกลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด

เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาเขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมาเขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุม
ร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมาเขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสารจึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆ
กอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพ ของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจพอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า "ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมาเด็กรับใช้ตกใจมากหลวงตายิ้มแล้วบอกว่า "โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว"

ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชติดตามหลวงตาองค์นั้นในที่สุด

คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยังเพราะถึงเวลาที่ต้องจากกันไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้าก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

ทุกๆวจีกรรม กายกรรม และมโนกรรม ที่เรานึกคิดพูดล้วนเป็นกรรมหมด อยู่ที่เจตนาเป็นบุญหรือบาป
ล้วนส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตทั้งนั้น...ธรรมะสาธุ

ขอบคุณที่มา: วีรวฑฺฒโน ภิกฺขุ วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่
https://www.facebook.com/profile.php?id=100005003114296
โพสท์โดย: SpiderMeaw
http://board.postjung.com/1006637.html

Monday, December 5, 2016

เหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว




เฮ้ย แป๊บเดียวจะอีกแล้ว!
.
เคยรู้สึกมั้ยว่าตอนเด็กๆ ช่วงเวลาดีๆ อย่างปีใหม่กว่าจะมาถึงได้มันใช้เวลานานเหลือเกิน แต่พอเราแก่ตัวลง เริ่มเข้าสู่วัยกลางคน วันแต่ละวันมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วแป๊บๆ ก็ปีใหม่อีกแล้ว
.
มีหนังสือหลายเล่มพยายามหาเหตุผลในการอธิบายสาเหตุทางจิตวิทยาของความรู้สึกดังกล่าว ซึ่งก็มีอยู่หลายทฤษฎีทีเดียว
.
แต่ทฤษฎีที่อธิบายได้ดีที่สุดบอกว่า การได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ มันช่วยให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง แต่คนที่ผ่านประสบการณ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้คนๆ นั้นรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
.
นักจิตวิทยาให้เหตุผลว่า ความทรงจำของเราเป็นผลมาจากการรื้อสร้างทางสังคม (social re-construction) ไม่ใช่การบันทึกเหมือนกับไฟล์คอมพิวเตอร์ และไม่ใช่ความทรงจำทุกเรื่องที่ถูกบันทึกไว้เป็นเรื่องๆ อย่างชัดเจน และโดยส่วนใหญ่ความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่และเวลาก็ไม่ได้สัมพันธ์กัน
.
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขับรถไปยังสถานที่ที่สักแห่งเป็นครั้งแรก เหมือนอย่างนั่งรถไปที่ทำงานใหม่ครั้งแรก คุณจะรู้สึกว่ามันช่างเป็นระยะทางที่ยาวไกลเหลือเกิน แต่เมื่อเหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งเข้าก็จะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และคุณก็จะจำเรื่องราวเดิมๆ ที่ผ่านไปแต่ละวันไม่ค่อยได้
.
ยกเว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเหตุการณ์พิเศษที่ "น่าจดจำ" แทรกขึ้นมา อย่างเช่น รถติดอย่างมากในวันนั้น หรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นระหว่างทางขึ้นมา
.
และช่วงเวลาดีๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วได้เหมือนกันอย่างการเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุด 2 สัปดาห์อันแสนสนุกที่เกิดขึ้นทุกวันๆ เข้า พอคุณจะรู้ตัวอีกทีมันก็ถึงเวลาที่ต้องเก็บของกลับบ้านเสียแล้ว
.
ดังนั้น ถ้าใครอยากจะทำให้ "เวลาช้าลง" ก็คงต้องหาอะไรที่พิเศษๆ ให้กับเทศกาลพิเศษอย่างคริสต์มาส หรือปีใหม่ของตัวเองบ้าง หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตแต่ละวัน ถ้าเราลองหาประสบการณ์อะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เข้ามาบ้าง และใช้เวลาที่เรามีให้มีค่าที่สุดก็จะทำให้คนที่เริ่มมีประสบการณ์สูง (หรือเริ่มแก่นั่นแหละ) รู้สึกว่าเวลามันไม่ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก

โพสท์โดย: SpiderMeaw
http://board.postjung.com/1002654.html