Monday, July 20, 2015

รับมือกับความหึงอย่างถูกวิธี ต้องทำอย่างไรบ้าง ?




"ความหึง" หรือ "การถูกหึง" บางครั้งถ้ามีมากเกินไปก็อาจทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด แต่ความหึงที่พอดีอาจช่วยรักษาความสัมพันธ์ของคุณไว้ได้ เพียงแค่คุณต้องรับมือกับความหึงให้ดี ๆ

        แฟนคุณเป็นคนขี้หึงหรือเปล่า ? ถ้าใช่แล้วคุณมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง ? หากชีวิตรักตอนนี้ของคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ว่าแล้วละก็ เราขอแนะนำ 5 วิธีรับมือกับแฟนขี้หึง ที่เว็บไซต์ wmnlife รวบรวมไว้ รับรองว่าวิธีเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถจัดการความขี้หึงของอีกฝ่ายได้อย่างรอมชอมมากที่สุด

1. ชวนทำกิจกรรมร่วมกัน

        หมั่นหาโอกาสและเวลาว่างในการทำกิจกรรมร่วมกันบ่อย ๆ เป็นหนึ่งในหลายวิธีใช้รับมือกับความขี้หึงของอีกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณอยากที่จะให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ของคุณ เช่น การชวนเขาไปช้อปปิ้งด้วยกัน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ แต่เชื่อไหมว่าคำชวนของคุณทำให้เขาสบายใจที่รับรู้ว่าคุณไปไหนหรือกำลังทำ อะไรอยู่

2. เปิดเผยความสัมพันธ์ของคู่คุณให้คนอื่นรับรู้

        เมื่อคุณคบหาดูใจมาได้สักระยะหนึ่ง คุณอาจพาแฟนของคุณไปแนะนำให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงของคุณได้รู้จัก การปกปิดความสัมพันธ์ไม่ให้คนอื่นรู้ อาจทำให้คู่ของคุณเกิดความรู้สึกระแวง การแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนของอีกฝ่าย จะช่วยทำให้คู่รักของคุณเกิดความเชื่อใจและสบายใจมากยิ่งขึ้น

3. โทรศัพท์หาบ่อย ๆ

        คุณอาจจะประสาทเสียเอาง่าย ๆ เมื่อคู่ของคุณเอาแต่โทรศัพท์และส่งข้อความหาคุณตลอดทั้งวัน จะดีกว่าถ้าเรารู้จักเลือกเวลาในการโทรหาคู่รัก เพราะการโทรอย่างพร่ำเพรื่อนอกจากจะทำให้อีกฝ่ายรำคาญแล้ว ยังบั่นทอนความเชื่อใจของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ทางที่ดีคือหัดรายงานความเคลื่อนไหวให้อีกฝ่ายรู้จนเป็นนิสัย แต่ต้องเป็นเวลาที่เหมาะสมและพอดีด้วยนะ

4. แสดงความรักให้อีกฝ่ายได้รับรู้

        ผู้ชายเป็นเพศที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา น้อยรายที่จะรู้ว่าผู้หญิงกำลังคิดอะไรอยู่ เราขอแนะนำว่าให้คุณทั้งสองเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อกันให้มากที่สุด อย่าลังเลที่จะแสดงความรักซึ่งกันและกัน หาโอกาสไปดินเนอร์กันสองต่อสอง หาของขวัญมาเซอร์ไพรส์ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ รวมถึงพูดคุยและวางแผนอนาคตคู่ของคุณร่วมกัน

5. ตัดความสัมพันธ์ในอดีตอย่างเด็ดขาด

        การที่อีกฝ่ายยังอาลัยอาวรณ์กับความสัมพันธ์ครั้งเก่า อาจเป็นฉนวนเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในความหวาดระแวง เขาอาจคิดไปว่าการที่คุณยังไม่ลืมคนรักเก่าเพราะคุณยังรักเขาอยู่ ในกรณีนี้คุณทั้งสองควรพูดคุยและทำความเข้าใจกันให้มากที่สุด บางครั้งการจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจ จำเป็นต้องใช้เวลา และเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความรู้สึกที่คุณมีต่อเขาได้ดีที่สุด

        การมีแฟนขี้หึงอาจเป็นเรื่องน่าเพลียใจ นี่อาจเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาความหึงของเขาลงได้บ้าง แต่อย่างน้อยความหึงก็เป็นสัญญาณของความรัก เอาเป็นว่าถ้ารู้ว่าตัวคุณมีพฤติกรรมบางอย่างที่กระตุ้นความหึงของเขา...ก็ เปลี่ยนมันซะ หรือไม่ก็ตกลงพูดคุยทำความเข้าใจกัน เพื่อให้เขารู้สึกมั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขามากขึ้นนั่นเอง

แหล่งที่มา  http://wedding.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Wednesday, July 15, 2015

6 เสน่ห์ในตัวผู้หญิง ที่ชวนให้ผู้ชายหลงใหลอย่างน่าประหลาด



        พบเสน่ห์ในตัวผู้หญิงที่ชวนให้ผู้ชายหลงใหลอย่างน่าประหลาด ใครเลยจะไปคิดว่าพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะสร้างเสน่ห์ให้กับคุณผู้หญิงอย่างไม่รู้ตัว

        ผู้หญิงทุกคนต่างมีเสน่ห์ที่ชวนให้ผู้ชายหลงใหลแตกต่างกัน มีผลแบบสำรวจตัวอย่างหนึ่งในเว็บไซต์ wmnlife ระบุ ว่านอกจากรูปร่างและหน้าตาที่สร้างเสน่ห์ให้กับคุณผู้หญิงแล้ว ยังมีพฤติกรรมบางอย่างของเธอที่สร้างเสน่ห์ให้ชายหนุ่มหลงใหลอย่างน่า ประหลาด เผื่อใครหลายคนได้อ่านและไปทดลองใช้ดูก็ไม่ว่ากัน

1. สาวแว่น

        น่าแปลกที่ผลสำรวจระบุว่าผู้หญิงที่ใส่แว่นมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงดึงดูดจาก เพศตรงข้ามมากกว่าสาวที่ไม่ใส่แว่น จะเห็นว่าผู้หญิงบางคนกลับดูดีขึ้นเมื่อใส่แว่นตา ตอนนี้ผู้หญิงคนไหนที่ใส่คอนแทคเลนส์อยู่ละก็ ขว้างมันทิ้งไปได้เลย เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าผู้ชายส่วนใหญ่มักหลงเสน่ห์และยอมแพ้ให้กับสาวแว่น

 
2. การโพกผ้าขนหนูบนศีรษะ

        ผู้หญิงหลายคนคงอดแปลกใจไม่ได้ว่า การโพกผ้าขนหนูบนศีรษะจะทำให้ฉันมีเสน่ห์ขึ้นได้อย่างไร ? ร้อยทั้งร้อยผู้ชายมักชอบผู้หญิงผมยาว แต่คุณจะรู้หรือไม่ว่าขณะที่ผมหมาด ๆ ของคุณอยู่ภายใต้ผ้าขนหนูหลังสระผมเสร็จ มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้คุณดูเซ็กซี่และชวนหลงใหลในสายตาเขามากขึ้น

 
3. การมองดูคุณผู้หญิงที่กำลังแต่งหน้า

        ลองคิดดูเล่น ๆ สิว่า ต่อหน้าแฟนหนุ่มคุณเคยแต่งหน้าให้เขาเห็นบ้างหรือเปล่า ? ทักษะและความเชี่ยวชาญของการลงสีบนใบหน้า ทำให้ชายหนุ่มของคุณต้องทึ่งในสกิลการแต่งหน้าขั้นเทพของคุณ กิริยาท่าทางของผู้หญิงเวลาแต่งหน้า ทำให้ชายหนุ่มคิดว่านั่นเป็นท่าทางที่แลดูเป็นธรรมชาติสำหรับเธอสุด ๆ

 
4. เมื่อผู้หญิงออกกำลังกาย

        ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายมักแอบมองผู้หญิงเวลาออกกำลังกายด้วยนะ ผู้ชายมักหลงเสน่ห์กับท่าทางที่จริงจังและเคร่งขรึมเวลาที่คุณออกกำลังกายอยู่มากโขเชียวล่ะ การขยับตัวของกล้ามเนื้อยิ่งทำให้คุณเซ็กซี่มากขึ้นในสายตาเขา ว่าง ๆ ลองชวนแฟนหนุ่มของคุณไปออกกำลังกายด้วยกันสิ นอกจากสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว คุณทั้งสองยังได้ใช้เวลาว่างร่วมกันอีกด้วยนะ

 
5. เสื้อลายพรางทหาร

        เสื้อลายพรางทหาร (Camouflage) เป็นสไตล์เสื้อผ้าที่ผลสำรวจบอกว่ามีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้ชายมากที่สุด อาจเป็นเพราะว่าเมื่อผู้หญิงใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้ ได้เปลี่ยนลุคของคุณให้ดูเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งขึ้น ทางที่ดีผู้หญิงเราควรมีเสื้อลายพรางทหารติดตู้เสื้อผ้าเอาไว้สักตัวสองตัว ใส่คู่กับกระโปรงสั้นหรือรองเท้าส้นสูงคู่เก่งออกไปเดินช้อปปิ้งในวันสบาย ๆ  เท่านี่คุณก็ดูเซ็กซี่ในสายตาของเขาแล้วล่ะ

 
6. เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่ง

        การใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเสื้อเชิ้ตของแฟนหนุ่มด้วยแล้ว จะทำให้คุณดูมีเสน่ห์ขึ้นเป็นกอง ไม่เชื่อคุณก็ลองสังเกตแฟนหนุ่มของคุณดูสิว่า เวลาที่เขาเห็นคุณใส่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรบ้าง ? ไม่แน่ว่าการใส่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของคุณผู้หญิง อาจกลายเป็นเทรนด์แฟชั่นใหม่ ที่ทำให้คุณผู้หญิงดูเก๋และเริดสุด ๆ

 
        หลายคนคงกำลังแอบเช็กลิสต์เสน่ห์ของตัวเองกันอยู่ใช่ไหมล่ะ ? ว่ามีกันกี่ข้อ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะสร้างเสน่ห์ให้กับตัวคุณมากที่สุด คงหนีไม่พ้นในเรื่องความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นเสน่ห์ถาวรที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
 

แหล่งที่มา  http://wedding.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, July 14, 2015

8 เคล็ดลับบูทพลังระหว่างวัน บ่าย ๆ เพลียประจำ ต้องลองทำดู




         ทำงานมาทั้งวัน ใช้สมองมาก็เยอะ ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกล้า ๆ ในช่วงบ่าย แต่วิธีบูทพลัง ระหว่างวันนี้คงช่วยพวกเราได้

          ช่วงเวลาระหว่างวันหรือเวลาทำงาน หลาย ๆ คนอาจมีอาการอ่อนเพลีย หาวหวอด ๆ จนอยากจะฟุบตัวไปกับโต๊ะทำงาน นิตยสารชีวจิต ก็เลยขอยกมือเสนอวิธีบูทพลังงานระหว่างวันอย่างง่าย ๆ มาให้ลองทำตามกันดู วิธีเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอนเลย

อาหารมื้อแรกของวัน

          ในมื้อเช้าควรเลือกกินอาหารที่มีส่วนประกอบของใยอาหาร เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง เพราะจากงานวิจัยมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า การกินธัญพืชในมื้อเช้าจะช่วยลดอาการอ่อนเพลียและช่วยเพิ่มทักษะการเรียนรู้ ได้มากถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะใยอาหารจะช่วยลดการดูดซึมของอาหารในกระเพาะ ส่งผลให้สามารถกักเก็บระดับน้ำตาลในเลือดไว้เสริมสร้างพลังงานระหว่างวันได้ นานยิ่งขึ้น
 
ดื่มน้ำสะอาดทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง

          นายแพทย์วูดสัน เมอร์เรล ผู้จัดการศูนย์การแพทย์เบธอิสราเอล ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า มีคนไม่น้อยมักเกิดอาการล้าจากการขาดน้ำ ซึ่งจากงานวิจัย พบว่า นักกีฬามากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์จะมีอาการล้า อ่อนเพลีย หากขาดน้ำเป็นเวลา 15 ชั่วโมง นอกจากนี้จะส่งผลให้ระดับความจำและกระบวนการทางความคิด การจดจ่อต่อเป้าหมายลดลงด้วย วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือ ดื่มน้ำสะอาดทุก ๆ 1-2 ชั่วโมงนั่นเอง

จิบชาระหว่างวัน

          เป็นที่ทราบกันดีว่าในใบชานั้นมีสารคาเฟอีนและกรดแอมิโนแอลทีอะนีนที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลียและกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ "ชาดำ" ซึ่งช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี และจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ พบว่า การดื่มชาวันละ 4 ครั้ง ใน 6 สัปดาห์นั้นส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมนความเครียดลดลง

 
ดื่มน้ำอาร์ซี

          อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำว่าการดื่มน้ำอาร์ซีในตอนเช้านั้นจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า แก้อาการอ่อนเพลีย เพราะมีส่วนประกอบของกลูโคส ดีเอ็นเอ / อาร์เอ็นเอ (DNA / RNA) และวิตามินแร่ธาตุจากธรรมชาติ ซึ่งช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้


ลุกจากโต๊ะสัก 10 นาที

          การเดินขยับร่างกายในระยะเวลาสั้น ๆ จะช่วยเติมพลังให้กับร่างกายในระหว่างวันได้ จากงานวิจัยสมาคมหัวใจสหรัฐอเมริกา พบว่า การเดินเพียงแค่วันละ 10 นาที ภายในระยะเวลา 6 เดือน จะทำให้ร่างกายมีพลังมากกว่าการหยุดนิ่งอยู่กับที่ถึง 18 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังช่วยลดการปวดหัว ปวดเมื่อยร่างกาย และการเป็นตะคริวได้ด้วย


หาต้นไม้เล็ก ๆ มาวางบนโต๊ะ

          โดยเฉพาะต้นไม้สีเขียวจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายในช่วงบ่าย เพราะจากงานวิจัยมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส เอแอนด์เอ็ม ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ต้นไม้สีเขียว หรือแจกันดอกไม้หลากสี จะช่วยเพิ่มไอเดียในการคิดงานได้ดียิ่งขึ้น

 
กินอาหารระหว่างวัน

          ที่ห้ามพลาดเลยก็คือ แซนด์วิชขนมปังโฮลวีทกับกล้วยหอมและเนยถั่ว เป็นเมนูชาร์จพลัง ซึ่งแพทย์หญิงซูซาน ลาร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้อธิบายว่า กล้วยหอมเป็นแหล่งของโพแทสเซียมตัวช่วยของร่างกายในการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้กลายเป็นพลังงาน และเนยถั่วที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ในร่างกาย

 
เปิดเพลงเบา ๆ

          ขณะทำงานควรเปิดเพลงฟัง หรือฮัมเพลงเบา ๆ ไปด้วยก็ได้ เพราะจากงานวิจัยพบว่าพนักงานที่ใส่หูฟังเพลงขณะทำงานนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดความเครียดเรื่องงานลงถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

          ชื่นชอบวิธีไหน อย่าลืมนำไปปรับใช้กันดูนะครับ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โดย สิรกัลป์ อรัญมงคล
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/cucumberwind/make-it/