Thursday, February 27, 2014

เนื้อคู่กับตัวเลข



            โดยการนำ ตัวเลขของส่วนสูงและน้ำหนักของคุณมาบวกกัน เหลือเศษเท่าไรก็ไปดูคำทำนายกันค่ะ

            ตัวอย่างเช่น คุณสูง 160 เซนติเมตร หนัก 45 กิโลกรัม

            วิธีคำนวณคือ 160+45 = 205 เสร็จแล้วให้นำเศษหลักหน่วยที่ได้ไปดูคำทำนาย

            จากตัวอย่างก็คือ เศษ 5

ผลการทำนาย >>>

           
 เหลือ เศษ 0  

 
              เนื้อคู่ของคุณเป็นคนผิวสองสี มีฐานะดี เป็นคนจริงจัง ค่อนข้างถือตัว นิสัยแข็งกระด้าง แต่เป็นคนที่มีความมานะอดทน เป็นคนที่ต้องการให้คนอื่นมาเอาใจ และต้องการให้มีคนมารายล้อมมากๆ

           
 เหลือ เศษ 1 


             เนื้อคู่ของคุณเป็นคนผิวขาว น่ารัก ใจเย็น เจ้าระเบียบ ชอบให้คนอื่นมาเอาใจ ฐานะมั่นคง เป็นคนชอบให้คุณอยู่ในคำสั่งของเขา ถ้าขัดใจเมื่อไหร่จะไม่พอใจทันที แต่โกรธง่ายหายเร็ว ถ้ารักใครแล้วก็รักจริง พร้อมจะแต่งงานกับคนที่เขารักได้ทันที

           
 เหลือ เศษ 2 


              เนื้อคู่ของคุณเป็นคนรูปร่างสันทัด ผิวสองสี ร่าเริง ไม่ถือตัว เป็นคนง่ายๆ ชอบตามใจคนอื่น ไม่ค่อยพิธีรีตรองมากนัก มารยาทเรียบร้อย เสมอต้นเสมอปลาย รักเดียวใจเดียว

           
 เหลือ เศษ 3  

 
             เนื้อคู่ของคุณเป็นคนผิวขาวเหลือง ฐานะมั่นคง มีเสน่ห์ พูดจาอ่อนหวาน ช่างพูดช่างคุย มีเพื่อนเยอะ เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง จัดการทุกอย่างเองหมด มีลักษณะของผู้นำ บางครั้งโรแมนติก ชอบทำให้คนอื่นหลงกล

           
 เหลือ เศษ 4 


             เนื้อคู่ของคุณเป็นคนผิวคล้ำ มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถือตัว ฐานะดี ช่างพูด รักอิสระ เชื่อมั่นในตัวเองมาก ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ เป็นคนตั้งใจ ทำอะไรแล้วต้องทำให้ดีที่สุด มีเหตุผลหนักแน่น ชอบคิดหาเหตุผลในทุกเรื่อง

           
 เหลือ เศษ 5 


             เนื้อคู่ของคุณรูปร่างสันทัด ผิวขาว ร่าเริง สนุกสนาน เป็นคนอ่อนไหวพอสมควร ขี้งอนและขี้หึงมาก แต่บางครั้งก็สุขุมเยือกเย็น และอ่อนน้อม ยากจะคาดเดาได้ พูดจาตรงไปตรงมา เห็นความรักเป็นสิ่งวิเศษ

           
 เหลือ เศษ 6  


             เนื้อคู่ของคุณเป็นคนผิวขาว นิสัยอ่อนโยน ตามใจคุณทุกอย่าง ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบที่จะสนุกสนานไปเรื่อยๆ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ต้องการให้คนที่อยู่ใกล้มีความสุข จึงเป็นที่รักของคนมากมาย

           
 เหลือ เศษ 7  


            เนื้อคู่ของคุณเป็นคนผิวขาวเหลือง นิสัยอ่อนโยน พูดจาดีมีเหตุผล ให้ความจริงใจกับความรัก ไม่ชอบให้ใครมาบังคับให้ทำอะไร เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ช่างประดิษฐ์คิดค้น ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ชอบพึ่งคนอื่น แต่งตัวเนี้ยบมาก รักความเป็นระเบียบเรียบร้อย

           
 เหลือ เศษ 8 


             เนื้อคู่ของคุณเป็นคนสันทัด ผิวสองสี ชอบเอาใจคนอื่น ชอบอยู่กับคนเยอะๆ มีความสุขที่ได้พบปะกับคนอื่น ชอบอะไรง่ายๆ แต่งตัวสบายๆ เป็นคนเปิดเผยจริงจังกับความรักมาก และค่อนข้างขี้หึง

           
 เหลือ เศษ 9 


               เนื้อคู่ของคุณเป็นคนผิวขาว คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น เป็นตัวของตัวเอง ชอบทำอะไรที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ ช่างฝันมาก มีอารมณ์โรแมนติกสูง ชอบหาวิธีเซอร์ไพรส์คนรักเสมอ

แหล่งที่มา  ข้อมูลจาก Forward Mail, http://horoscope.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Monday, February 24, 2014

7 สัญญาณเตือนเตรียมบอกลา เพราะรักหมดอายุ





          ทุกอย่างต่างก็มีเวลาในตัวเองไม่เว้น แม้แต่ความรัก สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามันจะหมดอายุเมื่อไหร่ ในขณะที่บางส่วนก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ เพราะไม่อยากให้ความรักครั้งนี้จบลง ซึ่งสุดท้ายแล้วยิ่งยื้อกันต่อไปก็มีแต่เจ็บเปล่า คงจะดีกว่าหากบอกลากันตั้งแต่ยังเหลือความรู้สึกดี ๆ หลงเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะถ้าหากในช่วงนี้คุณรู้สึกเฉยชากับทุกสิ่งที่เขาทำให้ ต้องแกล้งทำเป็นสนใจทั้งที่จริงแล้วกลับรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า หรือในทางกลับกันเขาหมดเวลาไปกันเรื่องอื่น ๆ มากกว่าเลือกอยู่กับคุณ โดนโกรธแบบไม่มีสาเหตุ และอาการที่เขาแสดงออกมาเหล่านี้

1. อยู่ด้วยกันแต่เหมือนไม่มีตัวตน

          เวลาก็ผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้วที่คุณรู้สึกว่า คุณกลายเป็นธาตุอากาศที่ไม่มีตัวตนสำหรับเขา ส่วนโทรศัพท์ที่เคยหยิบขึ้นมาพูดคุยกันทุกวัน มาตอนนี้ก็มีเสียงเรียกเข้าเรื่องงาน จากกลุ่มเพื่อน หรือครอบครัวเท่านั้น และบ่อยครั้งที่เขามักจะสนุกจนลืมคุณ โดยใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน หรือไม่ก็ออกไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อน ๆ เมื่อเจอกับเหตุการณ์แบบนี้คนส่วนใหญ่มักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ช่วงนี้ชีวิตของเขาคงกำลังวุ่นวาย ทำงานหนัก หรือเครียด เลยต้องการที่ระบาย และหลังจากที่เขาส่งข้อความมาเพียงคำสั้น ๆ ความโกรธเคืองในใจก็มลายหายไปทันที แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่วงจรเดิม ๆ ต่อไปไม่รู้จบ ทั้งที่จริงนี่เป็นสัญญาณอันตรายว่าความรักของคุณหมดอายุไปแล้ว และถ้าหากเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ก็คงถึงเวลาแล้วที่คุณจะยอมรับความจริงเสียที ลองถามความรู้สึกคนรักตรง ๆ จะได้หายข้องใจกันเสียทีว่าความรักของคุณหมดอายุแล้วจริง ๆ หรือคุณแค่คิดไปเอง

2. เรื่องชีวิตคู่ไม่เคยอยู่ในความคิด

          หลายครั้งที่คุณพยายามจะวางแผนทริปเดินทางสุดโรแมนติก เพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แต่กลับโดนเขาปฏิเสธ หรือคุณกำลังจะชวนเขาไปงานแต่งงานของเพื่อน แต่เขารีบตอบกลับมาว่าเขามีสิ่งที่ต้องทำในวันนั้นแล้วทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้เช็คตารางนัดของเขาเลยสักนิด นอกจากนี้ ถึงแม้จะเป็นปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่เพื่อน ๆ กับคุณจัดขึ้นมา เขาก็อิดออดไม่อยากไป และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เขาแสดงให้เห็นว่าไม่อยากจะไปไหนมาไหนกับคุณ การกระทำเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนสำคัญที่เขากำลังแสดงให้คุณรู้ว่า ความรู้สึกของเขาที่มีต่อคุณไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และตอนนี้ความรักของพวกคุณกำลังหมดอายุแล้วก็ได้ ที่สำคัญการที่เขาไม่มีภาพชีวิตคู่หรือไม่เคยพูดถึงเรื่องอนาคตที่จะมีร่วมกันเลย ก็อาจจะดีกว่าหากต่างฝ่ายต่างถอยออกมาแล้วถามความรู้สึกตัวเองว่า ความรักครั้งนี้ควรพัฒนาต่อไปหรือแยกย้ายกันไปคนละทางดี

3. เขาทำตัวเหมือนคนโสด

          ระยะหลังมานี้เขามักจะทำตามใจตัวเอง ไปในที่ที่เขาอยากไป หรือออกไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนโดยไม่เคยมีคุณอยู่ในแผนเหล่านั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะเดียวกันตัวคุณเองก็ต้องออกไปไหนมาไหนคนเดียวมากขึ้น บ่อยครั้งที่ทำให้รู้สึกเหงา ทั้ง ๆ ที่มีเขาอยู่ข้าง ๆ และส่วนมากก็มักจะโทรศัพท์หาคุณตอนกำลังที่มีปัญหา หรือเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่โทรศัพท์กันแล้ว เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้คุณจำเป็นต้องทบทวนความสัมพันธ์กันใหม่ ว่าคุณเลือกที่จะพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง หรือมองหาหนุ่มคนใหม่ คนที่จะทำให้คุณเจอกับความรักที่มีความสุขมากกว่านี้

4. คุณกลายเป็นเจ้าแม่ดราม่า

          ความสัมพันธ์ของพวกคุณเหมือนสนามรบที่มีอารมณ์เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ทุกครั้งที่พูดคุยกันจะต้องมีการประชดประชัน เสียดสีกันเป็นประจำ หรือทำหน้าบึ้งตึงให้เห็นกันตลอด นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ดูเหมือนจะผิดไปหมดเสียทุกอย่าง แม้คุณจะทำทุกอย่างเหมือนเดิมตามนิสัยของคุณก็ตาม และสุดท้ายก่อนจากกันก็ต้องจบด้วยการทะเลาะหรือร้องไห้ทุกครั้ง จนเพื่อน ๆ ของคุณทักว่าช่วงนี้คุณกลายเป็นเจ้าแม่ดราม่าไปแล้ว อ๊ะ ๆ ให้ระวังตัวเอาไว้เลย เพราะตอนนี้เขากำลังผลักคุณออกจากชีวิตของเขา ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้อาจจะดีกว่าหากคุณเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง

5. ไม่สามารถเชื่อใจเขาได้อีกแล้ว

          นับวันเขายิ่งทำตัวลึกลับมากขึ้นเรื่อย ๆ และเซนส์ของคุณเองก็คอยกระซิบบอกกับคุณอยู่ตลอดเวลาว่าความรักครั้งนี้คงเดินต่อไปได้อีกไม่ไกล อีกทั้งตอนนี้ไม่เคยเดินจับมือกันเหมือนก่อน นับวันความรู้สึกต่างคนต่างก็เย็นชาเมินเฉยใส่กันทุกวัน บ่อยครั้งที่เขาจีบหรือชมผู้หญิงคนอื่นจนออกนอกหน้า ดูไม่เกรงใจคุณสักนิด ที่สำคัญการกระทำของเขาทำให้คุณไม่สามารถเชื่อใจเขาได้อีกต่อไป เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่า ความสัมพันธ์ของพวกคุณกำลังมีปัญหา ซึ่งพวกคุณทั้ง 2 คนน่าจะมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่าหากจะลากันไป เพื่อเจอคนที่ดีกว่าจริง ๆ

6. เขาไม่ใช่คนเดียวกับที่คุณเคยเจอ และคุณเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

          ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้ชายหวาน โรแมนติก และเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของคุณ ส่วนคุณเองก็รู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ทุกครั้งที่ได้เจอกับเขา อีกทั้งยังเป็นคู่รักที่ทำให้เพื่อน ๆ รู้สึกอิจฉาในความรักได้ตลอด แต่ตอนนี้พวกคุณทั้งคู่ต่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย ต่างคนต่างก็ต้องการให้อีกฝ่ายทำสิ่งที่ตัวเองต้องการมากขึ้น แต่สุดท้ายก็พบว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะปรับเปลี่ยนตามความต้องการแล้ว ก็ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกของกันและกันได้ อีกทั้งนับวันการพูดคุยก็กลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกวัน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาเหล่านี้ทำให้คุณรู้แล้วว่า ตอนนี้คุณกับเขามีเป้าหมายและอนาคตที่แตกต่างกัน จนทำให้ชีวิตในทุก ๆ วันไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้การเดินจากมาก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลย

7. ไม่มีใครฟังใครอีกแล้ว

          นอกจากเขาจะชอบทำตามใจตัวเอง ยังไม่สนใจคุณอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไร ที่ไหน กับใคร เมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป ในขณะเดียวกันคุณเองก็เริ่มไม่สนใจเรื่องราวของเขาอีกต่อไปแล้วเช่นกัน ทุก ๆ วันเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในฝันร้าย และบ่อยครั้งที่หัวใจของคุณบอกว่าควรจะพอเสียที จากนี้ก็ควรเชื่อหัวใจของตัวเองและทำตามบ้าง ก่อนที่เขาจะทำให้คุณรู้สึกหมดคุณค่า และไม่มีกำลังใจที่เดินต่อไป

          หากคุณเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ ลองทบทวนเรื่องต่าง ๆ และอาจจะถามจากคนรักของคุณดูแล้ว พบว่า ความรักของพวกคุณหมดอายุลงจนไม่สามารถจะยื้อคนรักเอาไว้ข้างกายได้อีกต่อไป การถอยออกมาน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะถ้าหากยื้อต่อไปต่างคนต่างก็ไม่มีความสุขด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ที่สำคัญสุดท้ายแล้วอาจจะไม่เหลือความทรงจำดี ๆ เอาไว้ให้จำอีกเลยก็ได้

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, February 22, 2014

เบื้องหลังความเชื่อเรื่องแต่งงาน ที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด




         มีเรื่องราว ความเชื่อ และความคิดมากมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน ในเรื่องราวเหล่านั้นก็มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา ซึ่งบางครั้งบางเรื่องก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คู่บ่าวสาวส่วนใหญ่ได้ยินมาเสมอไป โดยเฉพาะ 5 เรื่องแต่งงานที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หากอยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้างก็ตามไปดูกันเลย

        
  1. วันพิเศษของเจ้าสาว

          สำหรับสาว ๆ หลายคนคงคิดว่าวันแต่งงานเป็นของเจ้าสาว เพราะเป็นวันที่เธอจะได้ใส่ชุดในฝัน แต่งตัวสวย ๆ เดินควงแขนกับคนที่เธอรัก ซึ่งแท้จริงแล้ววันแต่งงานควรจะเป็นวันของคุณกับคนรักที่จะได้มีช่วงเวลาพิเศษอีกช่วงหนึ่งของชีวิตพร้อมกัน ดังนั้น จึงควรเอาใจใส่และให้ความสำคัญในรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งของตัวเองและของคนรักด้วย

       
  2. จำเป็นต้องมีของชำร่วยให้กับแขกที่มาร่วมงาน

          หากมองในแง่ของความเหมาะสมแล้วงานแต่งงานก็ควรจะมีของชำร่วย เพื่อเป็นการขอบคุณให้กับแขกที่มาร่วมงาน แต่หลายต่อหลายครั้งที่พบงานสิ่งของชำร่วยที่นำมาแจกในงานแต่งงานนั้นกลับ ถูกวางทิ้งไว้ ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็เพราะเป็นสิ่งของที่แขกไม่ได้ใช้งาน ดังนั้น หากไม่อยากให้งบประมาณเสียเปล่า ก่อนที่คุณจะสั่งของชำร่วยควรจะคำนึงถึงประโยชน์การใช้งานเสียก่อน ว่าเป็นสิ่งของที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับแขกที่มาร่วมงานแต่งงานของคุณมาก น้อยแค่ไหน แล้วจึงค่อยสั่งของชำร่วยมาแจกจะดีกว่า

       
  3. ไม่ควรเจอคู่หมั้นจนกว่าจะถึงพิธีแต่งงาน

          บางคู่อาจจะยึดกับกฎเกณฑ์ที่กล่าวมานี้ จนลืมไปว่าในวันแต่งงานพวกคุณจะมีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยมาก เพราะตลอดทั้งวันนั้นนอกจากจะต้องพบปะกับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ทั้งครอบครัวกับเพื่อน ๆ ของตัวเองและของอีกฝ่ายแล้ว ยังมีช่วงปาร์ตี้สังสรรค์จนแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันจนกว่าจะจบงานเลยทีเดียว ทั้งที่จริงแล้ววันสำคัญแบบนี้พวกคุณควรจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุด โดยในตอนเช้าหรือช่วงก่อนที่จะเริ่มพิธีแต่งงานอาจจะลองพูดคุยหรือพากันไป เดินเล่นใช้เวลาอยู่ด้วยกันสักพัก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันก่อนถึงเวลาเริ่มงานแต่งงานก็ได้

       
  4. งานแต่งงานจำเป็นจะต้องมีปาร์ตี้

          เนื่องจากงานแต่งงานหลาย ๆ งานมีการจัดปาร์ตี้สังสรรค์หลังจากจัดพิธีแต่งงาน ดังนั้น จึงทำให้ว่าที่บ่าวสาวหลายคู่คิดว่า จำเป็นจะต้องมีปาร์ตี้เลี้ยงฉลองวันแต่งงานตามไปด้วย ไม่เช่นนี้จะรู้สึกว่าเหมือนงานแต่งงานของตัวเองไม่สมบูรณ์ ก็เลยจัดการเชิญแขกทั้งคนสนิทและไม่สนิทมาร่วมกันเลี้ยงฉลองวันแต่งงาน โดยในงานปาร์ตี้นั้นอาจมีแขกจำนวนมากกว่าครึ่งที่แทบไม่เคยติดต่อเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะความเกรงใจและกลัวว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่พอก็เลยต้องเชิญมาร่วมงาน ด้วย ทั้งที่จริงแล้วงานปาร์ตี้เลี้ยงฉลองนั้นอาจไม่จำเป็นจะต้องจัดก็ได้ มีแค่พิธีงานแต่งงานที่เป็นกิจจะลักษณะกับแขกที่คุณสนิทกันจริง ๆ อย่างเช่น ญาติผู้ใหญ่ พี่น้อง และเพื่อนสนิทก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ หากต้องการจะขอบคุณก็อาจจะเลี้ยงอาหารมื้อเล็กสักมื้อก็ได้

       
  5. วันแต่งงานเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต

          หนุ่มสาวหลายคนมีความคิดว่า วันแต่งงานเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วันแต่งงานเป็นวันสำคัญของชีวิต แต่คงไม่ใช่วันสำคัญที่สุด โดยอย่าลืมว่าในชีวิตของเรานั้นมีเรื่องราวมากมายที่ต้องเจออีกในอนาคต เพราะวันแต่งงานเป็นเพียงวันแรกของการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต จุดเริ่มต้นของการมีครอบครัว และมีความมั่นคงในชีวิตเพิ่มขึ้น

          ซึ่งถ้าหากคุณรู้สึกตื่นเต้น เป็นกังวล และเครียดเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งงาน จนทำให้คุณรู้สึกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ให้ลองหยุดนิ่งสักพักแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับเตือนตัวเองว่า วันแต่งงานไม่ใช่วันสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของชีวิต ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ทำให้ชีวิตของคุณสมบูรณ์ และดียิ่งขึ้นเท่านั้นเอง

          เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ 5 เรื่องแต่งงานที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อว่าบางเรื่องนั้นคู่บ่าวสาวก็อาจจะรู้กันอยู่แล้ว แต่อาจจะหลงลืมไปบ้างเพราะความตื่นเต้นบวกกับความวุ่นวายหลาย ๆ อย่าง ซึ่งในเมื่อตอนนี้ก็รู้กันแล้วดังนั้นก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับคนรักของตัว เอง และจัดงานแต่งงานโดยคำนึงถึงจุดประสงค์หลักของงานแต่งงานเป็นสำคัญจะได้ไม่ รู้สึกเสียดายหรือเสียใจในภายหลัง

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Friday, February 21, 2014

คำตอบสำหรับคนโสด เมื่อโดนถามเรื่องแต่งงาน




ทำไมคุณยังไม่แต่งงาน? หรือคำถามเกี่ยวกับการแต่งงานในทำนองนี้ เชื่อว่าคงเป็นคำถามที่กวนใจคนโสดไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่อายุเข้าเลข 3 ไปแล้ว แหม...ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาหวังดี แต่บางครั้งก็การที่ต้องมาตอบคำถามเดิม ๆ บ่อย ๆ ก็พาลให้อารมณ์เสียได้เหมือนกัน ในขณะที่บางคนก็แอบนอยด์ไปหลายวันเพราะไม่รู้จะตอบพวกเขาว่าอย่างไรดี เอาอย่างนี้ถ้ามีคนมาถามคุณอีกว่าทำไมคุณยังไม่แต่งงานสักที ก็บอกพวกเขาไปเลยว่า

1. คุณกำลังรอใครบางคนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ และไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีคนนั้น

           เป็นคำตอบที่ฟังแล้วดูเหมือนประโยคในนิยายอย่างไรอย่างนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะถึงแม้คุณจะรีบตัดสินใจ แต่ถ้าหากอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องกลับมาอยู่คนเดียวอยู่ดี เหมือนกับการที่ใครหลาย ๆ คนชอบรีบตัดสินใจแต่งงานเนื่องจากโดนสังคมรอบข้างกดดัน จนทำให้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ไปตลอดชีวิต ทั้งที่จริงแล้วอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับความรักเลย และคุณก็สามารถพบรักได้ตลอดไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ฉะนั้น รอกระทั่งเจอคนที่ใช่หรือตัดสินใจอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย อย่างน้อยก็ดีกว่าการเสียเวลาไปกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดันจนทำให้ตัวเองไม่มีความสุข

2. ถึงแม้บางคนจะคิดว่าการแต่งงานเหมือนกับการหาหลักประกันให้กับอนาคต แต่คุณกลับมองตรงข้าม

           การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถลบความรู้สึกเสียดาย และเปลี่ยนจากคนที่ไม่ใช่สำหรับคุณให้กลายเป็นคนที่ใช่ในที่สุดได้ อีกทั้งการแต่งงานที่มีผลประโยชน์แอบแฝงโดยไม่มีความรักอยู่เลย จะทำให้เกิดความรู้สึกเสียดายในภายหลัง และยังปิดโอกาสที่คุณจะได้เจอกับคนที่ใช่สำหรับคุณอีกด้วย ซึ่งคงจะดีกว่าหากคุณใช้เวลารอคนที่คุณรู้สึกว่า คน ๆ นั้นสามารถเข้ามาเติมเต็มชีวิตของคุณให้สมบูรณ์ได้จริง ๆ เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะไม่มีวันเสียดายเวลาที่รอเลยสักนิด

3. สาเหตุที่คนบางคนยังไม่แต่งงานก็เพราะรู้ว่ามันต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงมาก

           งานแต่งงานในความคิดของใครหลาย ๆ คนมักจะสวยหรู นึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้เพราะมันเป็นแค่จินตนาการเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วงานแต่งงานในฝันของคุณ บางครั้งก็ไม่อาจเนรมิตให้มันเป็นจริงได้ด้วยเงื่อนไขของราคาค่างวดที่คุณต้องจ่ายหลายหลัก ซึ่งสำหรับบางคนมันก็เป็นราคาที่สูงเกินกว่าจะจ่ายได้ และนอกจากสิ่งที่ต้องใช้จ่ายในงานแต่งงานแล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายในอนาคตที่ต้องรับผิดชอบอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทริปฮันนีมูน วางแผนซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือ เลี้ยงลูก เป็นต้น

4. สอนให้ผู้หญิงรู้จักยืนอยู่ด้วยขาของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างแตกต่าง

           หลาย ๆ คนมักจะติดอยู่กับความคิดที่ถูกถ่ายทอดกันมาในสังคมว่า การอยู่แบบมีคู่คิดนั้นจะดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียว โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายของชีวิต ทั้งที่จริงแล้วคุณมีเวลามากมายที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงช่วงบั้นปลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน สถานะการเงิน ที่อยู่อาศัย หรือเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นกับชีวิตคุณ ทั้งนี้ อาจจะลองหาแรงบันดาลใจจากบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตก็ได้

5. การแต่งงานเป็นแค่ทางเลือก และชีวิตเราก็มีทางเลือกมากกว่านั้น

           ชีวิตคนเรามีทางเลือกมากมายที่คุณสามารถเลือกเดินได้ และการแต่งงานก็เป็นแค่ทางเลือกหนึ่งของชีวิตเท่านั้น แต่ที่หลาย ๆ คนคิดว่าเป็นทางเลือกที่ต้องทำหรือเหมาะสมกับชีวิตก็เพราะเห็นว่า คนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำเช่นนั้น ก็เลยทำให้หลายคนรู้สึกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องที่ต้องทำ โดยเฉพาะเมื่อโดนกดดันด้วยคำถามมาก ๆ ซึ่งความจริงแล้วมันอยู่ที่ตัวคุณเองมากกว่าว่าจะเลือกตัดสินใจอย่างไร ถ้าคิดว่าการแต่งงานไม่สามารถจะทำให้ชีวิตคุณสมบูรณ์หรือมีความสุขได้ก็เลือกทางอื่นน่าจะดีกว่า

            คราวหน้าถ้ามีคนมาถามคุณด้วยคำถามในทำนองที่ว่า ทำไมคุณยังไม่แต่งงาน ? ก็ตอบพวกเขาไปเลยด้วย 5 เหตุผลที่ได้กล่าวไปข้างต้น พร้อมกับน้ำเสียงมั่นใจสุด ๆ พวกเขาจะได้รู้กันไปเลยว่า การแต่งงานสำหรับคุณเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้สำคัญกับชีวิตคุณ และคุณเองก็มีทางเลือกอีกมากมายที่ดีกว่านั้น

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต